ประวัติศาสตร์ของชาติไทยเรา ได้ผ่านการต่อสู้กับศัตรูผู้รุกรานอยู่หลายครั้ง และในแต่ละครั้งนั้น นักรบไทยได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ เข้มแข็ง มีวินัยในการรบ จนทำให้ประสบชัยชนะได้เป็นอย่างดี
แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้เป็นนักรบ แต่เป็นชาวบ้านธรรมดา เมื่อถึงเวลาที่ชาติถูกรุกราน ก็จะมีการรวมตัวเพื่อต่อสู้กับข้าศึกศัตรูอย่างห้าวหาญและเข้มแข็ง แม้ ไม่ได้ถูกฝึกให้เป็นทหาร และอาวุธที่ใช้ก็จะเป็นเพียงดาบยาวแบบชาวบ้าน มีดหรือแม้กระทั่งค้อน กระบอง และอื่นๆ แต่ก็เข้าสู้ศัตรูอย่างมิเคยพรั่น
เกียรติประวัติของชาวไทยที่ได้รวมตัวกันต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองที่ถูกบันทึกไว้และเป็นที่รับรู้กันดีคือเรื่องชาวบ้านบางระจัน ที่ได้ร่วมกันต่อสู้ภัยรุกรานจาก อาณาจักรหงสาวดี ที่จะยกมาตีกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช ๒๓๐๘
ทัพของพม่าที่ยกมาจากทางเหนือ นำมาโดยเนเมียวสีหบดีผ่านเข้ามาทางด่านระแหง แขวงเมืองตาก จนเข้าใกล้กรุงศรีอยุธยาได้หยุดพักทัพที่เมืองวิเศษชัยชาญ เข้ากวาดต้อนทรัพย์สินและผู้คน
ชาวเมืองวิเศษชัยชาญต่างพากันโกรธแค้นต่อการกดขี่ข่มเหงของทหารพม่า จึงคบคิดรวมตัวกันเพื่อต่อสู้ มีการรวบรวมชาวบ้านทั้งจากเมืองวิเศษชัยชาญ สิงห์บุรี สรรคบุรี โดยมีนายแท่น นายโชติ นายอินทร์ นายเมือง ได้หลอกลวงทหารของพม่าโดยนำพาทรัพย์สิ่งของที่พม่าต้องการหลบหนีทหารพม่าหลงเชื่อติดตามไปจึงถูกชาวบ้านที่เหล่านี้ฆ่าตายประมาณ ๒๐ คน ก่อนที่จะหนีไปยังบางระจัน
บางระจันเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันอยู่ในอำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เป็นจุดที่สร้างประวัติศาสตร์อันลือลั่นในการต่อสู้กับศัตรูผู้รุกราน
ชาวบ้านชาวเมืองเมื่อทราบข่าวดังกล่าวก็ติดตามเข้ามาอยู่ที่บางระจันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสพึ่งพาพระอาจารย์ธรรมโชติ พระภิกษุซึ่งมีกิตติศัพท์ในเรื่องวิทยาคม เพื่อจะได้ให้ปกป้องคุ้มภัย จนรวบรวมชาวบ้านได้ประมาณ ๔๐๐ คน ตั้งค่ายขึ้น ๒ ค่ายเพื่อป้องกันทหารหงสาวดีที่จะยกมา จัดหากำลังและศัสตราวุธเพิ่มเติมด้วย
ที่นี่เองได้มีคนไทยชั้นหัวหน้าได้ขอเข้ามาร่วมด้วยอีก ๗ คน คือ ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยวนายทองแสงใหญ่ นายดอกไม้ และนายทองแก้ว รวมมีหัวหน้าคนสำคัญของค่ายบางระจัน ๑๑ คนที่จะต่อสู้กับพม่า
พม่าได้ยกพลเข้าตีค่ายบางระจันถึง ๗ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ยกพลมาจำนวน ๑๐๐ คนเศษ เมื่อมาถึงบางระจัน ก็หยุดพักอยู่ที่ฝั่งลำธาร นายแท่นได้จัดคน ๒๐๐ คน ข้ามแม่น้ำไปรบกับพม่าซึ่งไม่ทันรู้ตัว ใช้อาวุธสั้นเข้าไล่ฟันแทงพม่าถึงขั้นตะลุมบอน ทหารพม่าล้มตายหมดเหลือเพียง ๒ คนที่หนีไปได้ และไปแจ้งข่าวให้เนเมียวสีหบดีที่ตั้งค่ายอยู่ ณ ปากน้ำพระประคบทราย
ครั้งที่ ๒ เนเมียวสีหบดี ให้งาจุนหวุ่นคุมคน ๕๐๐ คน มาตีค่ายบางระจัน แต่ก็ถูก นายแท่นและพรรคพวกตีทัพจนแตกพ่าย และถึงแม้จะเกณฑ์ทหารเพิ่มอีก ๗๐๐ คน ให้เยกินหวุ่นมาสมทบก็ถูกตีพ่ายอีก
ครั้งที่ ๓ เนเมียวสีหบดีเห็นว่ากำลังของบางระจันเข้มแข็ง จึงเกณฑ์คนอีก ๕๐๐ คนให้ติงจาโบคุมทัพมา แต่ก็แพ้ต่อชาวบ้านบางระจันอีกครั้ง
ครั้งที่ ๔ เป็นการรบที่ดุเดือดพม่ายกกำลัง ๑,๐๐๐ คน เป็นทหารม้า ๖๐ คน โดยมีสุรินจอข่องเป็นนายทัพ ยกมาตั้งที่บ้านห้วยไผ่ ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดอ่างทอง ฝ่ายค่ายบางระจันได้เตรียมรบโดยนายแท่นคุมกำลัง ๒๐๐ คน พันเรืองคุมกำลัง ๒๐๐ คนเช่นกัน โดยครั้งนี้ใช้ปืนคาบศิลาซึ่งยึดมาจากพม่าในการรบครั้งก่อนๆ เพื่อใช้ในการสู้รบด้วย ทัพไทยยกไปตั้งอยู่คนละฝั่งคลองกับทับพม่ายิงโต้ตอบกัน แต่การที่ไทยชำนาญภูมิประเทศมากกว่า จึงรุกไล่ฆ่าพม่าล้มตายเป็นอันมาก สุรินจอข่องนายทัพพม่าถูกฟันตายในที่รบ ส่วนนายแท่นแม่ทัพไทยก็ถูกปืนที่เข่าบาดเจ็บต้องหามออกจากที่รบเช่นกัน แต่ในที่สุดทัพไทยก็สามารถเอาชนะทัพพม่าโดยกำลังพลพม่าล้มตายไปประมาณ ๓ ใน ๔ ไทยยึดอาวุธได้เป็นอันมาก
ครั้งที่ ๕ พม่าว่างเว้นไม่ยกมาตีค่ายบางระจันประมาณ ๑๐ วัน หลังจากนั้นก็แต่งทัพมาอีก โดยมีแยจออากาเป็นนายทัพ กำลังพล ๑,๐๐๐ เศษ พร้อมด้วยม้าและอาวุธต่างๆ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ปราชัยกับชาวบ้านบางระจัน
ครั้งที่ ๖ พม่ายกมาครั้งนี้มีกำลังเพียง ๑๐๐ คนเศษ และให้จิกแกปลัดเมืองทวายคุมพลมา แต่ก็พ่ายแพ้กับฝ่ายไทยอีกเช่นเคย
ครั้งที่ ๘ ถือเป็นการรบใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยเนเมียวสีหบดีได้แต่งทัพกำลังพล ๑,๔๐๐ ให้อากาปันคยี เป็นแม่ทัพ ฝ่ายบางระจันให้ขุนสรรค์ซึ่งแม่นปืนคุมทหารป้องกันทัพม้าของพม่า และนายจันทร์หนวดเขี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่คุมพล ๑,๐๐๐ เศษออกตีทัพพม่าและล้อมค่ายไว้โดยทำการรบแบบอยู่จู่โจม พม่ายังไม่ทันตั้งค่าย ก็ถูกฆ่าตายเกือบหมดรวมทั้งแม่ทัพด้วย ทำให้พม่าพักรบนานถึงครึ่งเดือน
ครั้งที่ ๘ หลังจากพ่ายแพ้ถึง ๗ ครั้ง แม่ทัพพม่าจึงวางแผนการรบใหม่ประกอบกับได้ตัวชาวมอญผู้หนึ่งที่รู้จักภูมิประเทศดีอาสาเข้าทำการรบ จึงแต่งตั้งให้ผู้นี้ได้รับตำแหน่ง มีชื่อว่าสุกี้พระนายกองยกทัพ ๒,๐๐๐ คน พร้อมทั้งม้าและสรรพาวุธ เข้ารบกับค่ายบางระจัน โดยการตั้งค่ายเรียงราย ๓ ค่าย และสลับหมุนเข้าหาบางระจันทีละค่าย ทัพของบางระจันได้เข้าตีหลายครั้งไม่สำเร็จ เสียไพร่พลไปจำนวนมาก รวมทั้งนายทองเหม็นแม่ทัพฝ่ายไทยที่คงกระพันชาตรี พม่ารุกเข้าใกล้จนสามารถใช้ปืนใหญ่ยิงทำลายค่ายบางระจันได้ ผู้นำทัพไทยที่เข้าต่อสู้ ทั้งนายแท่น ขุนสรรค์ นายจันทร์ตายในที่รบทั้งหมด เมื่อติดต่อขอปืนใหญ่ไปยังกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้รับ ในที่สุดพม่าก็ตีค่ายบางระจันแตก รวมเวลาที่ค่ายบางระจันสามารถยันกองทัพพม่าไว้ได้เป็นระยะเวลานานถึง ๕ เดือน
นับว่าเป็นวีรกรรมที่ใหญ่ยิ่งของชนชาติไทย ที่เมื่อถึงเวลาต้องต่อสู้กับศัตรู จะต่อสู้อย่างกล้าหาญเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ ยอมเสียแม้เลือดเนื้อและชีวิต เพื่อรักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้ให้ได้
ก็เช่นเดียวกับการเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยและเขมร จนกระทั่งมีการสู้รบที่เรียกได้ว่าเป็นสงคราม ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘ เป็นต้นมา ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อว่า มูลเหตุที่แท้จริงเกิดมาจากผลประโยชน์มหาศาลที่ยังขัดแย้งและตกลงกันไม่ได้ของตระกูลโกงชาติ ๒ ตระกูล คือชินและฮุน ที่เป็นและเคยเป็นผู้นำของไทยและเขมร โดยผลประโยชน์นั้นน่าจะเป็นเรื่องของแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติขนาดใหญ่บริเวณเกาะกูดที่โยงกับเรื่องเขตแดน และการจะเปิดศูนย์บันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนในไทยด้วย
ในการสู้รบครั้งนี้ ทหารกล้าของไทยทั้งจากทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ รวมทั้งตำรวจตระเวนชายแดนและอาสาสมัครทหารพราน ซึ่งทุกคนมีความรักชาติเป็นอย่างยิ่งได้เข้าต่อสู้กับศัตรู
ผู้รุกรานด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็ง มีแผนการรบที่ยอดเยี่ยม และสอดประสานแผนระหว่างหน่วยรบต่างๆ ได้อย่างดีที่สุด จนทำให้ไทยได้รับชัยชนะ ยึดพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินของชาติที่เคยถูกเขมรรุกรานกลับคืนมาได้ถึง ๑๑ จุด เป็นวีรกรรมที่ควรได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็เป็นเรื่องที่ชาวไทยทุกคนเศร้าสลดและเสียใจ จากการที่เราต้องเสียวีรบุรุษผู้กล้าไปถึง ๑๕ ชีวิต และยังมีผู้ที่ต้องพิการรวมทั้งบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนประมาณ ๑๗๐ ราย ไม่รวมชาวบ้านทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ที่ต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการยิงที่บ้าระห่ำของกองทัพเขมร ที่ใช้ปืนใหญ่หลายลำกล้องและลำกล้องเดี่ยว ยิงเข้ามาทำลายชุมชนทั้งโรงพยาบาล ร้านค้า บ้านเรือน ของผู้คน จนเสียหายอย่างมากมาย โดยไม่มีตระกูลโกงชาติตระกูลไหนมารับผิดชอบ
การกระทำของกองทัพเขมรนี้ เป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม ป่าเถื่อน และ มีความผิดตามอนุสัญญาทั้งออตตาวาและเจนีวา อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยจะต้องเข้มแข็ง ในการสื่อสารให้ชาวโลกได้รับทราบ และประณามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ตลอดจนการร้องเรียน ไปยังองค์กรที่รับผิดชอบในระดับนานาชาติทั้งหลาย
สงครามระหว่างไทยและเขมรครั้งนี้ แบ่งได้เป็น ๓ รูปแบบ คือสงครามด้วยการใช้อาวุธ สงครามการสื่อสาร คือการใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดในการกล่าวหาและทำร้ายทางด้านความคิด และสงครามของเรื่อง geopolitic เพราะมหาอำนาจบางชาติกำลังแสวงหาประโยชน์ในภูมิภาคนี้ จึงอาจจะอยู่เบื้องหลังการศึกสงครามครั้งนี้ก็เป็นได้
สงครามครั้งนี้ยังไม่จบง่ายอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีการเจรจากันระหว่างสองฝ่าย โดยมีชาติมหาอำนาจขอเป็นผู้สังเกตการณ์ ก็ได้แต่หวังว่าชาติที่เป็นผู้สังเกตการณ์นั้น จะไม่ทำหน้าที่เป็นสทร. จนเกิดผลร้ายต่อฝ่ายไทย โดยฝ่ายทหารจะต้องเป็นหลักของผู้แทนฝ่ายไทยในการเจรจา จะต้องรอบคอบ มีข้อมูลพร้อม วางแผนและเจรจาด้วยสติและปัญญา อย่าได้โอนอ่อนผ่อนตามหรืออ่อนแออย่างที่รัฐบาลนี้เป็นอยู่ เป็นรัฐบาลที่ควรจะออกไปเสียที ขอให้การเจรจานั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและรักษาอธิปไตยของชาติที่เรารักไว้ได้ตลอดไป
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี