ตั้งแต่สมัยอดีตกาลนานมา แว่นแคว้นหรืออาณาจักรต่างๆ นั้น จะมีการปกครอง โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศ ซึ่งนอกจากพระองค์จะต้องทำให้แว่นแคว้นอาณาจักรต่างๆ เจริญรุ่งเรืองแล้ว ทุกพระองค์จะต่อสู้เพื่อปกป้องอิสระเสรีภาพ และรักษาแผ่นดินที่ทรงปกครองไว้ให้ได้ โดยจะสู้กับศัตรูผู้รุกรานอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ลูกหลานเหลนได้มีแผ่นดินที่อยู่อาศัย และคงความเป็นชาติไว้ให้ได้
พระมหากษัตริย์ของชาติไทยในสมัยอาณาจักร สุโขทัย ๙ พระองค์และในสมัยอาณาจักรอยุธยา ๓๓ พระองค์ ก็ทรงยึดมั่นในการที่จะรักษาแผ่นดินของชาติไว้ให้ได้ ถึงแม้ว่าในบางจังหวะเวลาจะมีความพลาดพลั้งเกิดขึ้น และรุนแรงจนถึงกับเสียอิสรภาพไป ๒ ครั้งก็ตาม
การเสียอิสรภาพครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ.๒๑๑๒ นั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้ชาติกลับคืนมาได้ในปี พ.ศ.๒๑๒๗ โดยเสียอิสรภาพอยู่นานถึง ๑๕ ปี ส่วนการเสียอิสรภาพครั้งที่ ๒ ในปีพ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงกู้ชาติกลับคืนมาได้ในปีเดียวกัน โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๗ เดือนในการกู้อิสรภาพและหลังจากนั้นชาติไทยก็ไม่เคยเสียอิสรภาพอีกเลย
ในยุคเริ่มต้นของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ ชาติมหาอำนาจทางทิศตะวันตกของโลก อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลันดาต่างก็ออกล่าอาณานิคม ด้วยประเทศเหล่านี้มีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีกว่าชาติในเอเชีย จึงออกเดินทางมารุกรานประเทศในแถบเอเชียเกือบจะทุกประเทศ เนื่องจากดินแดนในแถบเอเชียนั้น นอกจากภูมิประเทศภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยแล้วยังมีทรัพยากรในทุกรูปแบบจำนวนมหาศาล จึงเป็นเป้าหมายให้กับประเทศนักล่าอาณานิคม
ชาติไทยเราเองก็ถูกรุกราน และทำให้ไทยเราต้องเสียดินแดนบางส่วนของประเทศไปจำนวนไม่น้อย โดยเหตุการณ์ที่ทำให้เสียดินแดนนั้น เกิดขึ้นมาแล้ว รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑๕ ครั้ง ดังนี้
การเสียดินแดนครั้งที่ ๑ เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โดยเสียเกาะหมาก หรือปีนัง ให้กับอังกฤษเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๒๙
ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเช่นกัน โดยเสียเมืองมะริด ทวาย และ ตะนาวศรี ให้กับพม่า เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๓๓๖
ครั้งที่ ๓ เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ โดยเสียเมืองบันทายมาศ หรือฮาเตียน ให้กับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.๒๓๕๓
ครั้งที่ ๔ เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยเสีย แสนหวี เมืองพงและเชียงตุง ให้กับพม่า ซึ่งต่อมาตกเป็นของอังกฤษในปี พ.ศ.๒๓๖๘
ครั้งที่ ๕ เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นกัน โดยเสียเมืองเปรัค ให้กับอังกฤษในปี พ.ศ.๒๓๖๙
ครั้งที่ ๖ เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยเสียสิบสองปันนา ให้กับจีน เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๙๓
ครั้งที่ ๗ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เช่นกัน โดยเสียเขมรและเกาะ ๖ เกาะ ให้แก่ฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๑๐
ครั้งที่ ๘ เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ ๕ โดยเสีย สิบสองจุไท ให้กับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๑
ครั้งที่ ๙ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เช่นกัน โดยเสียดินแดงฝั่งซ้ายของแม่น้ำสาละวินให้กับอังกฤษเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๕
ครั้งที่ ๑๐ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเสียดินแดนลาว หรือล้านช้าง ให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
ครั้งที่ ๑๑ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
ครั้งที่ ๑๒ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเสียเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙
ครั้งที่ ๑๓ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นการเสียดินแดนครั้งสุดท้ายในรัชกาลนี้ โดยเสียกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะริส ให้กับอังกฤษเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๑
ไทยว่างเว้นจากการเสียดินแดนให้กับนักล่าอาณานิคมมานาน จนกระทั่งถึงการเสียดินแดนครั้งที่ ๑๔ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ โดยเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กับเขมรเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ จากการตัดสินของศาลโลก จากเล่ห์เหลี่ยมของเขมรซึ่งรัฐบาลในยุคนั้นไม่สามารถจะทันเกมในการต่อสู้คดีความ และหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ก็ถูกตัดสินให้เสียพื้นที่รอบบริเวณประสาทเขาพระวิหารอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะนับเป็นการเสียดินแดนครั้งที่ ๑๕ ก็ได้
แม้การเสียดินแดนจะเกิดขึ้นหลายครั้งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ถ้าหากปราศจากซึ่งพระปรีชาสามารถในการตัดสินพระทัยของพระองค์แล้ว ไทยอาจจะต้องสูญเสียชาติในช่วงเวลานั้นก็เป็นได้
ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาผู้นำสูงสุดในการบริหารประเทศจึงเป็นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีหรือคณะรัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จึงถือเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในการบริหารบ้านเมืองให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีมีสุข และยังต้องเป็นผู้รับผิดชอบปกปักรักษาดินแดนร่วมกับฝ่ายกลาโหมด้วย
เหตุการณ์คลิปหลุด ที่เกี่ยวกับการสนทนาระหว่างนายกฯของไทยกับอดีตนายกฯของเขมร ซึ่งถือว่ายังเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของเขมรเพราะเป็นบิดาของนายกฯคนปัจจุบันนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการขาดความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในการบริหาร เจตคติที่ดีและวุฒิภาวะ และที่สำคัญยิ่งน่าจะขาดสติซึ่งเป็นตัวนำมาซึ่งปัญญา จึงทำให้การเจรจานั้น ที่อ้างว่าจะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง ๒ ประเทศกลับกลายเป็นการด้อยค่าและดูถูกประเทศของตัวเอง ตลอดจนกองทัพ ถึงขนาดกล่าวว่ากองทัพเป็นคนละพวกกับตัวเอง และหากรัฐบาลเขมรต้องการอะไรก็บอกมาจะทำให้ ซึ่งคำพูดดังกล่าวทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่คนไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถึงขนาดชุมนุมเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลในเรื่องมาตรฐานจริยธรรมของนายกฯว่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่
เพราะประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราชคอยปกป้องคุ้มครอง คลิปดังกล่าวจึงหลุดออกมา หาไม่เช่นนั้นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไทยจะไม่เสียดินแดนบางส่วนให้กับเขมร ซึ่งกำลังดำเนินการทุกวิธีเพื่อให้เป็นอย่างนั้น
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยเราเองกำลังประสบกับปัญหา คือเรื่องการปรับอัตราภาษีสินค้าส่งออกและสินค้านำเข้ากับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้อ้างว่าอัตราภาษีปัจจุบันทำให้อเมริกาเสียเปรียบดุลการค้า จึงต้องมีการปรับใหม่
ในเบื้องต้นนั้นอเมริกาได้ประกาศแล้วว่าไทยจะต้องเสียภาษีสินค้าส่งออกที่นำเข้าอเมริกาในอัตรา ๓๖% และต้องไม่คิดภาษีสินค้าจากอเมริกาที่จะนำเข้าสู่ประไทย คือเป็นอัตรา ๐% นั่นเอง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อรองครั้งสุดท้าย
มีกระแสข่าวว่า การเจรจาครั้งนี้อาจจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยเฉพาะการที่อเมริกาจะขอต่อรองใช้พื้นที่ฐานทัพเรือทับละมุ จังหวัดพังงา เป็นฐานทัพเรือในภูมิภาคนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปรับลดอัตราภาษีที่จะคิดกับประเทศไทย ซึ่งหากรัฐบาลยอมก็เท่ากับไทยต้องเสียดินแดนนั่นเอง
ก็หวังว่าข่าวนี้จะไม่เป็นจริง ประชาชนชาวไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะไม่มีวันยอมเป็นอันขาด และรัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้นกับประเทศ และหากจะเป็นเช่นนั้น เราคงจะได้เห็นการลุกฮือของประชาชนที่จะต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดอย่างแน่นอน เพื่อไล่คณะรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีฝีมือในการบริหารประเทศแต่อย่างใด ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารเศรษฐกิจ ที่จะทำให้ประชาชนได้อยู่ดีมีสุข ให้ออกไปโดยเร็วที่สุด
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี