หากกล่าวถึงเรื่องนิทานโบราณที่ได้รับความนิยมและถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกนั้น คงจะไม่มีใครที่จะไม่รู้จักนิทานอีสป
อีสป มีชีวิตอยู่ใน™ช่วงปร™ะมาณ ๖๒๐ ถึง ๕๖๔ ปีก่อนคริสตกาล มีการกล่าวถึงเขาในแหล่งข้อมูลโบราณเช่น อริสโตเติล กล่าวกันว่าเขาเค™ยเป็นทาส แต่ก็เป็นผู้ที่ชาญฉลาด และเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้มีอำนาจ เป็นนักเล่านิทานชาวกรีกโบราณที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในฐานะผู้แต่งนิทานจำนวนมาก ถึงแม้ตัวตนของอีสปจะไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัด แต่ผลงานของเขาที่เป็นเรื่องเล่าต่างๆ ถูกรวบรวมไว้ และเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และยังได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนใหญ่ของนิทานอีสปใช้สัตว์หรือสิ่งของที่ไม่ใช่มนุษย์ในการดำเนินเรื่อง โดยมีคุณสมบัติเหมือนมนุษย์เช่นการพูดการแก้ปัญหา และคุณสมบัติอื่นๆที่คล้ายคลึงกับมนุษย์
นิทานอีสปถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มีหลักฐานว่า มีการแปลนิทานอีสปเป็นภาษาไทยครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ ๕ หลังจากนั้นมีผู้ที่เป็นนักปราชญ์และนักเขียนต่างๆ ได้เรียบเรียงให้ดีขึ้นเพื่อใช้เป็นแบบเรียนสำหรับเด็ก ซึ่งยังมีการนำไปใช้ในการสอนเด็กๆ ในชั้นระดับประถมศึกษาอย่างแพร่หลาย
ถึงแม้จะไม่รู้จำนวนแน่นอนของนิทานอีสป แต่ก็เชื่อกันว่าน่าจะมีอยู่หลายร้อยเรื่อง และเรื่องที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ กบเลือกนาย เด็กเลี้ยงแกะ ราชสีห์กับหนู อึ่งอ่างกับวัว หมาป่ากับลูกแกะ
แต่เรื่องที่น่าจะสอดคล้องกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันของประเทศเรา คือเรื่องม้าอารีและชาวนากับงูเห่า
นิทานเรื่องม้าอารีมีใจความว่า มีชาวไร่คนหนึ่งเลี้ยงม้าและวัวไว้ใช้งาน ม้ามีโรงอย่างดีไว้กันแดดกันฝน ส่วนวัวเลี้ยงให้อยู่ในคอกติดกันกับโรงม้าซึ่งทะลุถึงกันได้ วันหนึ่งฝนตก ม้ามีที่หลบฝนอยู่ในโรงจึงไม่เปียก ม้าเห็นวัวยืนตากฝนจึงร้องเรียกให้เอาหัวเข้ามาหลบในโรง แรกๆ วัวก็เอาแค่หัวหลบฝนในโรงม้า ต่อมาวัวชักได้ใจที่ม้าไม่ได้ว่าอะไร วัวก็ขยับหลบฝนเข้ามาเบียดมาอีกครึ่งตัว เมื่อวัวเห็นว่าม้าไม่ว่าอะไรอีกก็เลยขยับเข้าไปทั้งตัว จนกระทั่งม้าต้องถูกดันออกไปตากฝนแทนวัว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การมีความเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น แม้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรมีสติพิจารณาถึงความเหมาะสมและขอบเขตไม่เช่นนั้นอาจถูกเอาเปรียบและเดือดร้อนได้
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือชาวนากับงูเห่านั้น ได้กล่าวไว้ว่า วันหนึ่งในฤดูหนาว ชาวนาออกไปพบงูเห่านอนตัวแข็งอยู่บนคันนาด้วยความหนาวเย็น ทำให้เป็นเหน็บชาไปทั้งตัว ชาวนาผู้นั้นก็นึกสมเพชอยากจะใคร่ช่วยชีวิตไว้จึงอุ้มงูเห่ามา เมื่องูเห่าได้ไอตัวคนอบอุ่นเช่นนั้น ไม่สู้นานนักก็ค่อยๆกระดิกตัวขึ้นได้ทีละน้อยๆ จนแข็งแรงดีอย่างเดิม แล้วก็เห่าขู่ฟ่อและกัดชาวนาที่ต้นแขนเป็นแผลลึก พิษร้ายแรงซึมซับ เข้าไปโดยเร็ว และไม่ช้าก็นอนตายอยู่ที่พื้นนั่นเอง แต่เมื่อจะขาดใจชาวนาผู้นั้นได้ร้องขึ้นว่า ทำคุณแก่สัตว์ร้ายนี่ให้โทษเช่นนี้แหละหนอ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำความดีกับคนชั่วอาจนำมาซึ่งความเดือดร้อนหรือผลร้ายตอบแทนได้ จึงมักถูกนำมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า การช่วยเหลือหรือมีเมตตาต่อผู้ที่ไม่มีความกตัญญูหรือนิสัยไม่ดี อาจนำมาซึ่งผลเสียต่อตัวเองได้
นิทานทั้ง ๒ เรื่องนั้น สามารถนำมาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ระหว่างประเทศไทยกับเขมรได้เป็นอย่างดี
ชาติไทยของเรา ได้เคยโอบอุ้มดูแลเขมรในฐานะประเทศราช มาเป็นระยะเวลายาวนานเริ่มต้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทองต่อเนื่องมาโดยตลอด อาจจะมีเว้นวรรคอยู่บางช่วงสั้นๆ เท่านั้น รวมเวลายาวนานร่วม ๔๐๐ ปี ในบางครั้งเมื่อเขมรกระด้างกระเดื่องก็จะถูกปราบปรามอย่างเช่นที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จฯไปปราบปรามพระยาละแวกและประกอบพิธีปฐมกรรม ซึ่งหลังจากนั้นเขมรก็เลิกกระด้างกระเดื่อง และไทยก็ปกครองดูแลเขมรมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๐๖ ที่เขมรตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักล่าอาณานิคม
ในยุคปัจจุบันนี้ ก่อนที่เขมรจะเปิดฉากรุกรานประเทศไทย จนเกิดเป็นสงคราม ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคมนั้น ประเทศไทยก็ได้ให้ความดูแลช่วยเหลือเขมรในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องค่ายอพยพจำนวนนับแสนคนในสมัยเขมรแดงด้านการศึกษา ซึ่งมีนักเรียนนักศึกษาจากเขมรได้ทุนมาศึกษาเล่าเรียนในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก แม้แต่เอกอัครราชทูตเขมรประจำประเทศไทยคนปัจจุบันที่เพิ่งถูกส่งกลับนั้น ก็มารับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย พระราชวงศ์ของไทย ก็ได้ให้การช่วยเหลือ แม้แต่การสร้างโรงเรียนและสถานศึกษาระดับสูงในเขมรมาอย่างต่อเนื่องในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมทั้งการสนับสนุนทางด้านสาธารณูปโภคต่างๆ
และที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือการช่วยเหลือแรงงานจากประเทศเขมร ซึ่งไม่อาจจะหางานทำหรือแม้แต่มีงานก็ไม่มีค่าตอบแทนที่เหมาะสมในประเทศของตัวเองได้ จึงต้องเดินทางบากหน้ามาเพื่อหางานทำในประเทศไทย ที่มีความมั่นคงมีค่าตอบแทนตามที่กฎหมายกำหนด เป็นจำนวน ๓๐๐,๐๐๐- ๔๐๐,๐๐๐ คน เป็นอย่างน้อย และยังไม่นับรวมที่เข้าเมืองไทยเพื่อหางานทำโดยผิดกฎหมายอีกส่วนหนึ่งด้วย
การรับแรงงานต่างด้าวเข้ามานั้นไม่ต่างกับม้าอารี ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่ามีผลกระทบที่ทำให้แรงงานไทยถูกเบียดออกจากระบบไปเป็นจำนวนไม่น้อย จนทำให้โรงงานหลายแห่งมีลูกจ้างส่วนใหญ่ เป็นลูกจ้างจากเขมร และหากเป็นในอุตสาหกรรมก่อสร้างก็จะพบว่า มีชาวเขมรมารับจ้างงานอยู่ในบริษัทก่อสร้างเป็นจำนวนมากทีเดียว
จากสภาพเดิมของการเป็นแค่ม้าอารีของไทย ขณะนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของชาวนากับงูเห่าแล้ว เมื่อปรากฏว่าเขมรได้แสดงตัวอย่างชัดเจนถึงการที่จะเป็นศัตรูกับชาติไทยของเรา ทั้งๆ ที่ไทยเราเคยโอบอุ้มมาโดยตลอด ก็แว้งกัดเอาโดยไม่ได้สำนึกถึงบุญคุณที่มีให้กันมาอย่างยาวนานเลยแม้แต่น้อย
การแว้งกลับมากัดในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายว่าจะเกิดขึ้น จนนำไปสู่การวิเคราะห์ว่ามาจากสาเหตุใด ซึ่งความน่าจะเป็นไปได้ที่สุดนั้นน่าจะเกิดจากพ่อลูกตระกูลฮุนที่เป็นผู้นำเผด็จการของเขมร เกิดการขัดแย้งอย่างรุนแรงกับอดีตผู้นำและผู้นำปัจจุบันจากตระกูลชิน ของไทย
เชื่อกันว่า เหตุแห่งการขัดแย้งนั้นมาจากเรื่องผลประโยชน์จำนวนมหาศาล คือแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อยู่บริเวณเกาะกูดซึ่งเป็นแผ่นดินของชาติไทย แต่เป็นเขตต่อเนื่องทางทะเลซึ่งเขมรพยายามอ้างสิทธิ์ที่จะได้รับผลประโยชน์ด้วย โดยน่าจะมีการตกลงกันเป็นการภายในมาก่อนแล้ว อันเป็นผลมาจากการต่อต้านของประชาชนที่จะไม่ยอมให้เขมรมีส่วนในผลประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าวแม้แต่น้อย
แต่เมื่อปรากฏว่า ผู้นำตระกูลชินไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ และยังมีการพูดจาดูหมิ่นของบุตรสาวต่อบุตรชายต่างตระกูล จึงกลายเป็นการทะเลาะวิวาทและนำไปสู่สงครามในที่สุด
กลายเป็นว่าผู้เคราะห์ร้ายคือทหารของชาติ ที่ต้องรบเพื่อปกป้องและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยในสนามรบบริเวณชายแดน ตลอดจนประชาชนคนไทยไม่เลือกว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชายที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ต้องเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ จนถึงพิการจากการสู้รบ โดยวิธีการรบที่ป่าเถื่อนของเขมร ที่ไม่เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา ที่ห้ามใช้อาวุธยิงทำลายบ้านเรือนประชาชน ที่สาธารณะ ตลอดจนโรงพยาบาล
รัฐบาลไทยไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่าได้พยายามที่จะร่วมปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างแท้จริง อันเป็นสิ่งที่คนไทยยอมรับไม่ได้ ทำให้ผลโพลปรากฏชัดว่า ทหารได้รับความชื่นชมและไว้วางใจจากเขตการร้ายดังกล่าวถึง ๗๔% ในขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯรักษาการได้คะแนนเพียง ๔% เศษ
แต่เสียงจากประชาชนที่ไม่ยอมรับรัฐบาลชุดนี้ที่มีเรื่องกระทำผิดอื่นๆ และอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินของศาล ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะทกสะท้านต่อรัฐบาลอย่างใดทั้งสิ้น ทำให้อนาคตของประเทศชาติดูเหมือนจะขุ่นมัวเหลือเกิน จนเริ่มเกิดความเสียหายที่ปรากฏชัดซึ่งเมื่อถึงเวลาหนึ่งเมื่อประชาชนถึงขีดอดทน และเหล่าทหารทั้งหลายก็ทนไม่ได้ ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง อันเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูกันต่อไป ม้าอารีและชาวนาผู้ใจดี จะต้องหาที่อยู่และรักษาชีวิตของตัวเองไว้ให้ได้
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี