“รัฐสวัสดิการของสังคม” คือสังคมที่สร้างสวัสดิการให้รัฐ สังคมก็คือผู้คนที่อยู่ร่วมกันในรัฐหรือประเทศนี้ แตกต่างจาก “รัฐสวัสดิการของนักการเมือง” ที่เขียนในครั้งที่แล้ว
แม้นักการเมืองรุ่นก่อนๆ จะพูดถึงรัฐสวัสดิการมาหลายสิบปี แต่ก็เป็นแค่คำพูด เพราะพวกเขารู้ว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะเงินไม่มี แค่เงินจะพัฒนาประเทศก็ยังไม่พอเลยจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นสวัสดิการให้ประชาชน จะเก็บภาษีเพิ่มหรือขยายฐานภาษีออกไปคือเก็บให้กว้างขึ้นก็เก็บไม่ได้ เพราะคนไทยส่วนมากนั้นมีอาชีพด้านเกษตรกรรมและรับจ้าง รายได้จะเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวก็ยังไม่พอ
ประเทศที่จะมีรัฐสวัสดิการได้นั้นจะต้องพัฒนาแล้ว ประชาชนมีอาชีพอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและการบริการเป็นส่วนมาก
ตอนนี้แม้คนไทยจะมีอาชีพอยู่ในด้านอุตสาหกรรมและการบริการมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเก็บภาษี ยิ่งสภาพเศรษฐกิจอย่างในช่วง 10 ปีจนถึงวันนี้ ประชาชนยิ่งอยู่กันอย่างยากลำบาก เรื่องเก็บภาษีมากขึ้นและขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้นจึงเป็นไปไม่ได้
ต่อให้พรรคส้มเป็นรัฐบาลพรรคเดียวก็ทำไม่ได้ มันเป็นแค่นโยบายหลอกเด็กเท่านั้น
แต่เมื่อประเทศไทยยังไม่เป็นรัฐสวัสดิการ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยจะไม่ได้รับสวัสดิการเสียเลย
ทุกวันนี้มีหลายโครงการที่เป็นสวัสดิการของรัฐให้ประชาชน ที่นักการเมืองแข่งขันกันทำเพื่อคะแนนเสียง อย่างเบี้ยคนชรา ค่ารักษาคนป่วย และยังมีโครงการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมด้วย ซึ่งทั้งหมดก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย
ต่อให้ไม่มีสวัสดิการเหล่านี้จากนักการเมือง สังคมไทยก็มีสวัสดิการอยู่แล้ว มันเป็นรัฐสวัสดิการของสังคม ซึ่งเป็นผลจากประชาชนช่วยเหลือเกื้อกูลกันเอง
ในวงแคบสุดก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในครอบครัว กว้างขึ้นก็ในหมู่บ้านหรือชุมชนซึ่งคนส่วนมากก็เป็นเครือญาติกัน ใครมีใครได้อะไรมาก็มักจะแบ่งปัน ใครเดือดร้อนก็ช่วยเหลือกัน
แม้ไม่ใช่ทุกคน แต่ส่วนมากเป็นอย่างนี้
กว้างขึ้นอีกก็คือการช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยการบริจาคแก่ผู้เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ ซึ่งเห็นได้ทุกปี เช่น ภัยจากน้ำท่วม ภัยจากฝนแล้งภัยจากโรคระบาด กระทั่งภัยจากอุบัติเหตุต่างๆ รวมไปถึงการบริจาคเงินให้โรงพยาบาล
ตอนนี้ก็ภัยจากสงครามระหว่างไทยกับเขมร คนไทยก็ร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคข้าวของเครื่องใช้ บ้างก็บริจาคอุปกรณ์ต่างๆ กระทั่งลวดหนามและอุปกรณ์สนับสนุนการรบอย่าง โดรน เป็นต้น
การช่วยเหลือเกื้อกูลกันดังกล่าวนี้กลับไม่ถูกใจพรรคส้ม ที่เชิดชูนโยบายรัฐสวัสดิการ เพราะพวกเขามองว่ามันเป็นหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่หน้าที่ประชาชน
เหตุที่พวกเขาต่อต้านการช่วยเหลือเกื้อกูลกันดังกล่าวก็เพราะ 1.พวกเขาคิดว่ามันจะเป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์ อย่างน้ำท่วมที่เชียงรายปีที่แล้ว ทหารและคนที่แข็งแรงต่างก็ลงลุยน้ำบ้างก็ลอยคอช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วม คนทั่วไปที่อยู่ส่วนอื่นก็บริจาคข้าวของเครื่องใช้ อาหาร น้ำดื่ม แต่พรรคส้มโดยหัวหน้าพรรค ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิกลับบอกว่า พรรคส้มไม่ช่วยเหลือของพวกนี้ “เพราะจะเป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์”!
เขามองตาชาวบ้านก็รู้แล้วว่าเดือดร้อน!
แต่ระบบอุปถัมภ์นั้นมีหลายอย่าง ผมเคยเขียนไปนานแล้ว ถ้าจะนับการช่วยเหลือเกื้อกูลกันนี้เป็นระบบอุปถัมภ์ มันก็เป็นระบบอุปถัมภ์ของประชาชนต่อประชาชน ไม่ใช่การจัดตั้งเป็นเครือข่าย เป็นขบวนการ ไม่ได้ต้องการอำนาจหรือผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ อย่างระบบอุปถัมภ์ของนักการเมือง ของเจ้าพ่อเจ้าแม่ ของผู้มีอิทธิพลต่างๆ
การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหมู่ประชาชนนี้เป็น “วิถีชาวบ้าน” เป็นประเพณีการทำบุญทำทานที่เนื่องมาจากพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งกับมาจากมนุษยธรรมอย่างหนึ่ง จึงมีคำมากมายที่สั่งสอนอบรมคนไทย เช่นคำว่า เมตตากรุณาร่วมทุกข์ร่วมสุข เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจ น้ำใจไมตรี สงสาร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ร่วมแรงร่วมใจ กตัญญูรู้คุณคน ฯลฯ
การช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนไทยเรียกกันว่า “น้ำใจคนไทย”
แต่เหตุที่พรรคส้มไม่ชอบก็เพราะพวกเขาติดเชื้อของลัทธิคอมมิวนิสต์มา จึงต้องการทำลายล้างคำสั่งสอนอบรมดังกล่าว หรือทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหลายอย่างที่พวกแกนนำขบวนการส้มออกมาพูดบ่อยๆ
พวกเขาต้องการสร้างรัฐสวัสดิการของรัฐ ทั้งที่มันเป็น “ระบบอุปถัมภ์” (โดยรัฐ) ที่พวกเขารังเกียจ
รัฐสวัสดิการโดยนักการเมืองนั้นไม่ยั่งยืน แต่รัฐสวัสดิการของสังคมนั้นจะคงอยู่ตลอดไป ถ้าไม่มีพวกชาติชั่วคอยบ่อนเซาะหรือทำลายเสียก่อน
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี