เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการศึกษาประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชาวขอม ซึ่งมักจะมีผู้เข้าใจว่าขอมคือเขมรเท่านั้น ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะขอมนั้นหมายถึงกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในภาคกลางตอนล่างของแผ่นดินสยาม อาทิ ลพบุรีหรือละโว้ สุพรรณบุรี รวมทั้งโคราชด้วย และกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในเขมรปัจจุบันนี้บางส่วน
ในอดีตประมาณ ๑,๓๐๐ ปีเศษที่ผ่านมานั้น อาณาจักรขอมนับเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในอุษาคเนย์ และเชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากอินเดียด้วย จึงมีการสร้างปราสาทและศาสนสถานที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันอยู่ในดินแดนแถบนี้หลายแห่ง เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทบายน ปราสาทนครวัด เป็นต้น กระจายอยู่ทั้งในเขตประเทศไทยและเขมรในปัจจุบันนี้
อาณาจักรขอมต้องล่มสลายลงจากการก่อกบฏของชาวสวนแตง ที่ต่อมาได้สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าแตงหวาน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยของ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๙ ผู้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์ในราชวงศ์มหิธรปุระ ที่เชื่อกันว่ามีถิ่นฐานอยู่บริเวณเมืองพิมายในปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นผู้สร้างนครธมหรือเมืองพระนครที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรขอมอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้า
สุริยวรมันที่ ๒ กษัตริย์ผู้สร้างนครวัด
หลังจากพระเจ้าแตงหวานขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดอีกเลยที่มีพระนามลงท้ายว่าวรมัน ซึ่งเป็นคำลงท้ายของกษัตริย์ของอาณาจักรขอมเท่านั้น จึงอาจจะสรุปได้ว่า เขมรในปัจจุบันนี้คือผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าแตงหวาน ซึ่งไม่ใช่กษัตริย์จากราชวงศ์ของผู้ครองอาณาจักรขอมที่เคยยิ่งใหญ่แต่อย่างใด
เมื่อเขมรเข้าสู่ยุคของการปกครองของกษัตริย์เชื้อสายพระเจ้าแตงหวานแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรอยุธยากำลังรุ่งเรืองอำนาจ โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอยุธยา ได้ยกทัพมาตีเขมร โดยตีเมืองพระนครที่เป็นเมืองหลวงในขณะนั้นแตกย่อยยับ ทำให้เขมรตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยาตั้งแต่นั้น แต่หลังจากนั้นเขมรก็ได้กระด้างกระเดื่อง จึงทำให้ เมื่อถึงสมัยสมเด็จเจ้าสามพระยาจึงต้องยกทัพมาตีเขมรจนย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เขมรล่มสลายและตกเป็นของอาณาจักรอยุธยาดังเดิม
จนกระทั่งถึงปีพ.ศ.๒๑๑๒ เมื่ออาณาจักรอยุธยาต้องเสียอิสรภาพ ทำให้เขมร กระด้างกระเดื่อง กษัตริย์เขมรในช่วงนั้นคือพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือพญาละแวกได้เยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาถึง ๒ ครั้ง ในปีพ.ศ.๒๑๑๓ และปีพ.ศ.๒๑๑๘ แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะกรุงศรีอยุธยาได้
หลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ประกาศอิสรภาพเมื่อปีพ.ศ.๒๑๒๗ พระบรมราชาธิราชที่ ๔ กษัตริย์เขมรที่ใช้นามเรียกขานว่าพญาละแวกเช่นกัน ก็ยกทัพมารุกรานอาณาจักรอยุธยา แต่ไม่เคยเข้าถึงกรุงศรีอยุธยาได้ ทำให้ในปีพ.ศ.๒๑๓๕ หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรได้ฟื้นฟูอาณาจักรอยุธยาจนเข้มแข็งจึงได้ยกทัพไปปราบเขมร พญาละแวกถูกจับตัวได้ และได้ถูกนำเข้าสู่พิธีปฐมกรรม ตัดศีรษะเอาเลือดล้างพระบาทของสมเด็จพระนเรศวร
เขมรจึงตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยามาอย่างยาวนานจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ นับรวมเวลาที่เขมรเป็นเมืองขึ้นของไทยทั้งหมดนานกว่า ๓๐๐ ปี ก่อนที่จะถูกฝรั่งเศส ประเทศนักล่าอาณานิคมเข้ามายึดครองในปีพ.ศ.๒๔๐๖
พงศาวดารของเขมรระบุไว้อย่างชัดเจนว่า กษัตริย์ที่เป็นต้นวงศ์ของผู้ปกครองเขมรนั้นสืบเชื้อสายมาจากตะกวด ฉะนั้นผู้ปกครองของเขมรในยุคต่อๆ มาจึงมีเชื้อสายตะกวด ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลิ้นสองแฉก เป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับเหี้ย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงพูดจาสิ่งใดๆ ไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตว์ มีนิสัยต่ำช้าเลวทราม ตามที่พระพุทธองค์ได้ทำนายไว้
ปัญหาทะเลาะวิวาทเรื่องเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับเขมร เกิดขึ้นจากความคิดที่ต่ำช้าของทั้งนายฮุนเซน อดีตนายกฯซึ่งตั้งตัวเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และนายพลฮุน มาเนต บุตรชายซึ่งเป็นลูกติดของภรรยา ที่ขณะนี้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนผู้พ่อ
ทั้งที่ข้อตกลงระหว่างไทยและฝรั่งเศส ในเรื่องเส้นเขตแดนของไทยกับเขมรนั้น ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าในส่วนพื้นที่ภูเขา จะใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน แต่เขมรก็พยายามกล่าวอ้างโดยใช้แผนที่มาตราส่วน ๑:๒๐๐,๐๐๐ ซึ่งไม่ละเอียดเท่าแผนที่มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ ที่ประเทศไทยและสากลใช้กันอยู่ จนทำให้ไทยต้องเสียพื้นที่และตัวประสาทเขาพระวิหารโดยการตัดสินของศาลโลก ทั้งๆ ที่เขาพระวิหารนั้นอยู่ในเขตแนวสันปันน้ำของประเทศไทยในปีพ.ศ.๒๕๐๕ จนทำให้ไทยไม่ยอมรับศาลโลกอีกต่อไป เช่นเดียวกับที่อีกหลายสิบประเทศไม่ยอมรับ แม้แต่สหรัฐอเมริกา
เป็นที่น่าเสียดายว่ารัฐบาลไทยในช่วงหนึ่ง ได้ทำข้อตกลง MOU๔๓ และ MOU๔๔ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจาแบ่งเขตแดน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ไทยเสียเปรียบอย่างแน่นอนหากใช้แผนที่มาตราส่วน ๑:๒๐๐,๐๐๐ โดยไทยจะต้องเสีย แผ่นดินทั้งบนบกและในน้ำไปอีกเป็นจำนวนมหาศาล
จากแนวเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจน จึงเป็นที่มาให้เขมรเรียกร้องเอาคืนปราสาทโบราณ ๓ แห่งที่อยู่ในเขตประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยยอมไม่ได้ จนในที่สุดเริ่มเกิดการปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายที่ต่างรักษาพื้นที่อยู่ และลุกลามเป็นการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเกิดสงครามในตอนเช้าของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม นี้ โดยที่ทหารเขมรได้ยกมาประชิดแนวรั้วลวดหนามบริเวณปราสาทตาเมือนธม และในที่สุดได้ใช้อาวุธปืนยิงมายังกองทหารไทยที่รักษาพื้นที่อยู่ ทำให้ทหารไทยต้องต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง รวมทั้งปกป้องแผ่นดินของไทยด้วย
หากวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดการสู้รบระหว่างไทยและเขมรในครั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อกันว่าการตกลงกันไม่ได้ในเรื่องของเขตแดนที่เป็นเรื่องเรื้อรังนานแล้วนั้น ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวลุกลาม จนเกิดเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงและกลายเป็นสงคราม
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า สาเหตุรากหญ้าน่าจะเกิดจากปัญหาระหว่าง ๒ ตระกูล คือตระกูลฮุนของเขมร กับอีกตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำของไทยทั้งในอดีต และปัจจุบัน โดยเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก อันอาจจะมาจากเรื่องของผลประโยชน์จำนวนมหาศาล
เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้นำเขมรเชื่อว่าการเจรจาตาม MOU๔๓ น่าจะเกิดขึ้น และหากพิจารณาโดยใช้แผนที่มาตราส่วน ๑:๒๐๐,๐๐๐ ได้จริง เขมรจะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อยรวมทั้งปราสาทต่างๆ ที่เป็นของไทย
ที่สำคัญยิ่งคือการได้พื้นที่ฝั่งทะเลซึ่งเชื่อมโยงถึงกรณีเกาะกูด ที่ภายใต้ทะเลส่วนนั้นมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งแก๊สและน้ำมันดิบ ซึ่งหากตกลงกันได้ ทั้งสองฝ่ายก็จะได้ประโยชน์ โดยจะเป็นผลประโยชน์ส่วนต้ว หรือประโยชน์ของประเทศชาตินั้น เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
ตัวจุดชนวนของเรื่องนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากปัญหาการโทรศัพท์คุยกันระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ แล้วคลิปของการเจรจาเกิดหลุดออกมา ซึ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศรับทราบว่าผู้นำของไทยนั้น คิดอย่างไรต่อชาติของตัวเอง และตัวผู้พ่อก็โกรธอย่างรุนแรง ถึงขนาดประกาศตัดญาติขาดมิตรแม้จะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานานกว่า ๓๐ ปี ทั้งๆ ที่ผู้นำเขมรเคยช่วยอดีตนายกฯและพรรคพวกในการหลบหนีออกจากประเทศไทย หลังจากต้องคดีที่ศาลพิพากษาแล้วและยังมิได้พิพากษา
ผู้นำเขมรได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการจุดประเด็นให้ชาวเขมรเกลียดชังไทย และเคลื่อนย้ายกำลังทหารประชิดชายแดน ทำการขุดคูเลต ทำลาดตระเวนและยั่วยุทหารไทย พาประชาชนขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาท และแสดงพฤติกรรมว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ จนกระทั่งถึงการวางกับระเบิด ซึ่งผิดหลักมนุษยธรรมตามสนธิสัญญาออตตาวา ทำให้ทหารไทยเกิดการสูญเสีย และในที่สุดก็ใช้อาวุธยิงเข้าสู่ฐานทหารของไทยที่อยู่ใกล้เคียงปราสาทตาเมือนธม ทำให้ทหารไทยต้องโต้ตอบเกิดการสู้รบมากขึ้นจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามแล้ว
หากผู้นำหรืออดีตผู้นำของไทยมีความรักชาติจริง ไม่มองถึงการเข้ามาบริหารประเทศโดยคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตน ศึกสงครามคราวนี้น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้วทำให้คนไทยส่วนหนึ่งต้องรับเคราะห์กรรมจากการบาดเจ็บและแม้แต่การเสียชีวิต จากการยิงทำลายล้างด้วยจรวดและปืนใหญ่ของเขมรเข้ามาที่โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งผิดหลักการของการทำสงครามตามสนธิสัญญเจนีวา ที่จะต้องหลีกเลี่ยงการทำร้ายประชาชน เพื่อสนองความอยากของคนบางคนบางตระกูล
แล้ววันนี้ชาวไทยทั้งหลายยังเห็นควรหรือที่จะให้ผู้นำคนนี้ รวมทั้งรัฐบาลชุดนี้ที่อ่อนแอยิ่งในการบริหารประเทศในทุกด้านได้บริหารประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราชาวไทยต่อไป ให้ทหารที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาชาติมาทำหน้าที่นี้สักระยะหนึ่งดีไหม จะได้พิชิตศึกละแวกให้ย่อยยับอีกครั้งหนึ่งด้วย
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี