ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ยืนยาวมาเป็นระยะเวลาร่วม ๘๐๐ ปีแล้วนั้น มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย เป็นที่น่าเสียดายว่ารัฐบาล กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญในเรื่องการสอนประวัติศาสตร์ให้กับนักเรียนและนักศึกษาของไทยน้อยลงตามลำดับ ทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตไม่รู้จักความเป็นมาและรากเหง้าของตัวเอง ขาดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ ขาดความศรัทธาในองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างชาติตั้งแต่อดีตกาล
ในส่วนของทหารไทยนั้น ชาติไทยเป็นชาติที่มีทหารมีความเข้มแข็ง กล้าหาญและอดทน ต่อสู้ในการรบเพื่อชาติอย่างเต็มที่เสมอมา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่อยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด แม้แต่การยอมสละชีวิตเพื่อรักษากฎระเบียบที่เป็นอยู่
ตัวอย่างของทหารกล้า ที่ยอมสละแม้แต่ชีวิตเมื่อรู้ว่ากระทำผิด และต้องการรักษาไว้ซึ่งพระราชกำหนดกฎหมาย บทพระอัยการ อันเป็นบทลงโทษที่สำคัญในสมัยอาณาจักรอยุธยา ก็คือพันท้ายนรสิงห์
เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกในพระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติช มิวเซียม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีหรือ พระเจ้าเสือ เมื่อปี พ.ศ.๒๒๔๗
พระเจ้าเสือเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง อยู่ในช่วงปลายอาณาจักรอยุธยา เป็นพระราชโอรสของพระเพทราชา มีพระนามเดิมว่าเดื่อ ได้เข้ารับราชการจนเลื่อนขึ้นเป็นขุนหลวงสรศักดิ์ จากการที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นความสามารถในการบังคับช้างพลายตกมันที่ดุร้ายได้สำเร็จ
ในสมัยของสมเด็จพระเพทราชา พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และถึงแม้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายบางประการเรื่องราชสมบัติ แต่ในที่สุดก็ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.๒๒๔๖
เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ที่ถูกบันทึกไว้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเสือได้เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกชัยไปประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำสาครบุรี เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขาม ซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยวและมีกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งไม่สามารถคัดเรือได้ทัน ทำให้โขนเรือพระที่นั่งชนกับกิ่งไม้ที่ห้อยลงมา หักตกลงไปในน้ำ
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ได้บันทึกไว้ดังนี้ เมื่อพันท้ายนรสิงห์เห็นเหตุการณ์นั้นก็ตกใจ โดดขึ้นจากเรือพระที่นั่งไปอยู่บนฝั่ง แล้วร้องกราบทูลพระกรุณาว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าพระราชอาญาเป็นทูลเกล้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดให้ทำศาลขึ้นที่นี้สูงประมาณเพียงตา แล้วจงตัดเอาศีรษะของข้าพเจ้ากับโขนเรือพระที่นั่งที่หักตกลงน้ำไป ขึ้นบวงสรวงไว้ด้วยกัน ณ ที่นี้ตามพระราชกำหนดในบทพระอัยการเถิด”โดยได้กราบทูลถึง ๓ ครั้ง
ในครั้งแรกนั้นสมเด็จพระเจ้าเสือได้พระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย พันท้ายนรสิงห์ก็ยังอ้อนวอน กราบทูลว่า “ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้ามิได้เอาโทษข้าพระพุทธเจ้านั้นพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ว่าจะเสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมายไปและซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมาละพระราชกำหนดสำหรับแผ่นดินเสียดังนี้ ดูมิบังควรยิ่งนัก นานไปภายหน้าเห็นว่าคนทั้งปวงจะร่วมครหาติเตียนดูหมิ่นได้ และพระเจ้าอยู่หัวอย่าทรงพระอาลัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งแก่มรณะโทษนี้เลย จงพระอาลัยถึงพระราชประเพณี อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมไปนั้นดีกว่า อันพระราชกำหนดมีมาแต่โบราณนั้นว่า ถ้าแลพันท้ายผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่ง ให้ศีรษะเรือพระที่นั่งนั้นหัก ท่านว่าผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย แลพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดให้ตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้า เสียตามโบราณราชกำหนดนั้นเถิด”
พระเจ้าเสือจึงทรงรับสั่งให้สร้างรูปปั้นปลอม แล้วตัดหัวรูปปั้นนั้นแทน แต่พันท้ายนรสิงห์ก็ยังมิยอม จนพระเจ้าเสือกลั้นน้ำพระเนตรไว้ไม่ได้ ในท้ายที่สุดก็ได้ตรัสสั่งให้ประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ตามคำขอ แล้วสร้างศาลเพียงตานำศีรษะของพันท้ายนรสิงห์และหัวเรือเอกชัยขึ้นตั้งบนศาลไว้บูชาพร้อมกัน ก่อนที่จะเสด็จออกไป ณ ปากน้ำสาครบุรี ก่อนจะเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา
พระองค์โปรดให้นำศพของพันท้ายนรสิงห์มาพระราชทานเพลิงศพพระราชทานเงินทองสิ่งของจำนวนมากแก่ภรรยา ลูกเมียพันท้ายนรสิงห์ ภายหลังพระเจ้าเสือได้สั่งให้สมุหนายกเกณฑ์คนจำนวน ๓ หมื่นคน ให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กอง ทำการขุดคลองลัดคลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน กว้าง ๕ วา ลึก ๖ ศอก ซึ่งคลองนี้ได้ขุดสำเร็จในสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ และได้พระราชทานนามคลองนี้ว่าคลองสนามชัย ต่อมาเรียกว่าคลองมหาชัย ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมหาชัย แต่ชาวบ้านเรียกกันว่าคลองด่าน
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ทำงานรับใช้แผ่นดิน ซึ่งนอกจากจะต้องมีความรับผิดชอบสูงแล้ว เมื่อเกิดเรื่องที่เป็นเรื่องไม่ถูกต้องหรือก่อให้เกิดความเสียหายก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความผิดที่ได้กระทำไป และการลงโทษก็เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย
หลังจากที่ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๕ นั้น ผู้ที่จะมาบริหารประเทศก็คือผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเมื่อได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองก็จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักการเมือง ซึ่งจำนวนไม่น้อยจะอ้างอยู่เสมอว่าได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจและหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
แต่ตามสภาพความเป็นจริงของเมืองไทยนั้น ๙๐ ปีเศษที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยได้มีหลักฐานปรากฏชัดเจนแล้วว่า นักการเมืองจำนวนไม่น้อยไม่ได้เข้ามาเพื่อบริหารบ้านเมืองให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแต่อย่างใด แต่จะมีเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ที่ร้ายแรงคือการกระทำทุจริตต่อรัฐ โกงบ้านกินเมือง ประพฤติผิดจริยธรรม ซึ่งต้องนับว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก ถึงแม้จะพยายามปิดบัง แต่ในที่สุดเรื่องเลวร้ายก็จะถูกเปิดเผยและถูกนำเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย
น่าสงสารประเทศไทย ที่นักการเมืองหลายคน ที่เข้ามาบริหารประเทศได้กระทำผิดประพฤติมิชอบ แม้แต่ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นใครบ้าง และแม้เมื่อศาลได้มีการตัดสินว่าได้กระทำผิดแล้วจริง ก็ยังไม่แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำผิด มีการหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ และเมื่อจะกลับเข้าสู่ประเทศก็มีกระบวนการลึกลับในการนำตัวกลับมา
ที่เป็นเรื่องไม่บังควรก็คือการขอพระราชทานอภัยโทษจากองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงมีพระเมตตา เหมือนกับเรื่องของพระเจ้าเสือซึ่งพร้อมจะยกโทษให้กับพันท้ายนรสิงห์ แต่พันท้ายนรสิงห์ก็ได้ยืนยันที่จะขอรับโทษ เพราะได้กระทำผิด ถึงแม้จะเกิดจากความประมาทพลาดพลั้ง เท่านั้น
แต่นักโทษที่เป็นอดีตนายกฯของไทยไม่ได้กระทำเช่นนั้นเลย หลังจากได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ ก็ยังมีความพยายามและใช้กระบวนการที่จะทำให้ไม่ต้องรับโทษแม้แต่นิดเดียว จนหลุดพ้นจากการจำคุก และหลังพ้นคุกก็ไม่ได้สำนึกในความผิด ยังคงปฏิบัติตนที่อาจก่อความเสียหายแก่บ้านเมืองมาโดยตลอด
ที่เลวร้ายที่สุดคือ อาจจะมีการสมคบคิดกับผู้นำต่างชาติกระทำการบางอย่าง ที่ลงท้ายด้วยสงครามระหว่างประเทศ ด้วยเหตุที่น่าจะเกิดจากการที่ไม่สามารถตกลงกันเรื่องผลประโยชน์มหาศาลบนผืนแผ่นดินไทยได้
กรรมหรือการกระทำเป็นเรื่องส่อเจตนาที่ย่อมจะเห็นผล ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว และผลของกรรมจะติดตามไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นักโทษผู้นี้รวมทั้งบุตรสาว ซึ่งขณะนี้ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯที่มาจากการจัดสรรให้โดยใช้กระบวนการและช่องทางการเมือง กำลังถูกกล่าวหาและฟ้องร้องในคดีความ อันเป็นกรรมชั่วที่ก่อขึ้นซึ่งเข้าข่ายว่าน่าจะเป็นความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง ก็ไม่แสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด ยังคงแข็งขืนและขัดขืนเพื่อจะดำรงตำแหน่งต่อไป อันเป็นเรื่องที่ควรจะได้รับการประณาม
คดีความของอดีตนายกฯที่หนีคุก และนายกฯ ที่น่าจะทำผิดมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาเพื่อการตัดสินของศาล ก็เชื่อว่าศาลสถิตยุติธรรมจะตัดสินคดีตามฐานความผิดที่กระทำไว้ และผลการตัดสินจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติในระยะยาว
ประชาชนทุกคนกำลังเฝ้ารอคำตัดสินของศาล ซึ่งการตัดสินครั้งนี้จะมีส่วนในการชี้ชะตาของชาติไทย ว่าจะเดินไปสู่อนาคตที่มีความก้าวหน้า มีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาและมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าขณะนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักการเมืองที่ประกอบกันเป็นคณะรัฐบาลรวมทั้งฝ่ายค้านที่ไม่เข้มแข็งในหน้าที่ที่ควรทำ ได้กระทำให้ประเทศชาติตกต่ำอย่างที่สุดแล้ว หรือไม่
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี