อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อกว่าหนึ่งพันปีที่ผ่านมานั้นคืออาณาจักรขอม แต่ในที่สุดก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมหาราชพระองค์แรกของชาติไทย คือพ่อขุนรามคำแหง แห่งอาณาจักรสุโขทัย
ต่อมาเขมรมีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครอง โดยนายแตงหวานที่เป็นชาวบ้านผู้มีอาชีพปลูกแตง ได้กระทำการกบฏโค่นล้มพระเจ้าชัยวรมันที่ ๙ กษัตริย์ผู้เป็นเชื้อสายของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ผู้สร้างนครวัดลงได้
เมื่อพระเจ้าอู่ทอง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่ของชาวสยามในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ จึงได้ให้สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสยกทัพไปตีเขมร แต่ครั้งแรกยังทำการไม่สำเร็จ จึงได้ให้ขุนหลวงพะงั่ว หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ยกทัพไปช่วย เพื่อล้างแค้นให้กับพระเจ้าชัยวรมันที่ ๙ และกระทำการได้สำเร็จ ตีเมืองนครธมที่เป็นเมืองหลวงของเขมรแตก พระบรมลำพงศ์พระราชนัดดาที่ครองราชย์ต่อมาจากพระเจ้าแตงหวานสวรรคต ในการรบ อาณาจักรอยุธยาจึงกลับมาปกครองเขมรอีกครั้งหนึ่ง
ในช่วงต่อๆ มานั้น ผู้ปกครองเขมรหรือกัมพูชา ก็จะกระด้างกระเดื่องเป็นครั้งคราว และบางครั้งเมื่ออาณาจักรอยุธยาอ่อนแอ ก็จะพยายามยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่เคยกระทำการได้สำเร็จ
ในปีพ.ศ.๒๑๓๖ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทรงยกทัพใหญ่ไปรบเขมร อีกครั้งหนึ่ง ได้ฆ่าพระยาละแวก ทำพิธีปฐมกรรมตัดศีรษะเอาเลือดล้างเท้า หลังจากนั้นอาณาจักรอยุธยาก็ครอบครองเขมรอยู่เป็นระยะเวลานาน โดยเขมรยังกระทำการกระด้างกระเดื่องอยู่เป็นระยะๆ ทำให้อาณาจักรอยุธยาต้องยกทัพไปปราบปรามอยู่หลายครั้ง
การยกทัพของกรุงศรีอยุธยาไปปราบเขมรเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงอาณาจักร อยุธยาเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้าท้ายสระอันเนื่องมาจากเขมรได้มีการแย่งชิงราชสมบัติกันอยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงที่สมเด็จพระไชยเชษฐาปกครองอยู่นั้น ได้มีการชักนำญวนเข้ามาด้วยทำให้เกิดการสู้รบแย่งชิงสมบัติภายในตลอด
ในปีพ.ศ. ๒๒๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจึงรับสั่งให้ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา โดยให้พระยาจักรีบ้านโรงฆ้องเป็นแม่ทัพ ยกทัพบก และให้พระยาโกษาธิบดีจีนเป็นแม่ทัพ ยกทัพเรือ โดยแต่ละทัพมีกำลังพล ๑๐,๐๐๐ คน การรบในครั้งนี้ ทัพเรือไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าตีเมืองท่าพุทไธมาศ แต่ก็ทำให้เมืองนี้ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญเสียหายอย่างมากมาย แต่ทัพบกประสบชัยชนะ จนในที่สุดพระแก้วฟ้ากษัตริย์เขมรได้ยอมถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทอง อ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยา เขมรจึงกลับมาเป็นเมืองประเทศราชของไทยอีกครั้งหนึ่ง และต่อเนื่องมาจนถึงอาณาจักรรัตนโกสินทร์
ราชพงศาวดารของเขมรเอง ได้กล่าวถึงกำเนิดของอาณาจักรนี้ โดยกล่าวว่าในกาลครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมายังดินแดนแถบนี้ มาถึงเกาะแห่งหนึ่งเรียกว่าเกาะโคกหมัน
พระมหาอานนทเถระ เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น ก็ยกอัญชลีน้อมสิริถวายบังคมทูลถามว่า เมื่อได้ทรงเห็นสัตว์ตะกวดเลียปากแล้ว ทรงแย้มพระโอษฐ์ดังนี้ ยังจะมีเหตุการณ์เป็นฉันใดฤา พระพุทธเจ้าข้า ขณะนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ ซึ่งเป็นมิ่งมงกุฎในไตรภพ ทรงปรารภตรัสทำนายทายบอกแก่พระมหาอานนทเถระว่า ดูกรอานนท์เอ๋ย จำเดิมตั้งแต่นี้ต่อไปภายหน้า เกาะโคกหมันนี้ แผ่นดินจะงอกขึ้นอีกใหญ่กว้าง แล้วจะเกิดเป็นนครหนึ่ง ซึ่งสัตว์ตะกวดมีจิตเลื่อมใส ศรัทธามากราบถวายบังคมต่อองค์พระตถาคต โดยอำนาจกุศลที่โสตประสาทได้ยินศัพท์สำเนียงพระสัทธรรมเทศนาแห่งพระตถาคต ในเมื่อเวลาสำแดงให้พระยานาคและฝูงเทวาได้สดับรับฟังนั้น เมื่อสัตว์ตะกวดนี้สิ้นชีพแล้ว จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ แล้วจะได้จุติลงมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่ง ครองกรุงอินทปรัตนคร และพระราชบุตรของกษัตริย์พระองค์นั้น จะได้เสด็จมาอย่างที่ตรงนี้ จึงพระยานาคที่ได้มาฟังพระธรรมเทศนานี้เองจะได้มาสร้างพระนคร เป็นพระราชธานีใหญ่ ให้แก่พระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นประทับอยู่ แล้วขนานนามพระนครเรียกว่า กรุงกัมพูชาธิบดี ส่วนนานาประเทศจะเรียกว่าเขมระภาษา ลุกาลต่อไปภายหน้าพระอินทราธิราชจะได้มาสร้างปราสาทถวาย แล้วเรียกนามเมืองว่า อินทปรัตนครเป็น ๒ ชื่อ และบรรดามนุษยชาติในพระราชธานีนี้ จะพูดจาสิ่งใดๆ ไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดิน มีชาติกำเนิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็น ๒ ซีก ครั้นทรงตรัสทำนายเหตุการณ์ ณ ที่นั้นเสร็จแล้ว ก็เสด็จทรงพระดำเนินไปที่อื่นต่อไป
จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก ที่คำทำนายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ดังจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาว่าเขมรนั้นมีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา มีการพูดจาที่เชื่อไม่ได้ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะมีมิตรหรือเพื่อนแท้ได้ มีแต่เรื่องจะทะเลาะกับชาวบ้านอยู่ตลอด ดังที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ซึ่งไม่เพียงแต่จะหาเรื่องทะเลาะกับประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่กับประเทศเพื่อนบ้านคือเวียดนามและลาว ก็จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอยู่ด้วย จึงทำให้เกิดปัญหาชายแดนระหว่างประเทศอยู่ตลอดเวลา
การที่เขมรพ่อลูกตระกูลฮุน พยายามที่จะรุกรานและหาเรื่องกับประเทศไทยในขณะนี้ จึงน่าจะเป็นผลจากคำทำนายมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล และในอนาคตก็น่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกเมื่อใดก็ได้
จึงเป็นเรื่องที่ผู้นำของไทยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อได้ขึ้นมาบริหารประเทศ โดยผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ควรจะได้ตระหนักในเรื่องของการคบหากับเขมรให้ดี
การที่อดีตนายกฯนักโทษของไทย ได้คบหากับตระกูลฮุนตัวพ่อ มาเป็นระยะเวลามากกว่า ๓๐ ปีก็คงคิดว่าเพื่อจะเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน จนกระทั่งอาจจะคิดถึงการเลียนแบบผู้นำเขมรรายนี้ ที่ได้สถาปนาตัวเองจากทหารธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ในศึกสงคราม จนขึ้นมาเป็นทหารใหญ่ สร้างอิทธิพลอำนาจจนได้เป็นผู้ปกครองประเทศ แล้วสถาปนาตัวเองให้เทียบเท่ากษัตริย์ ที่ปกครองประเทศเขมรอยู่เดิม แล้วก็ทำการทุกอย่างทั้งที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่กว่า กระทำทุจริตคอร์รัปชั่น จนมีเงินทองมากมายมหาศาล และใช้อำนาจเงินที่มีอยู่นี้กลับไปสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ใกล้ชิด เพื่อจะคอยค้ำอำนาจของตัวเองไว้ให้คงอยู่ตลอดไป ในขณะที่ประชาชนชาวเขมร อ่อนแอลงเรื่อยๆ ทั้งด้านสติปัญญาความคิดและความยากจนที่เกิดขึ้น เกือบจะทุกหย่อมหญ้า
เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เกิดการขัดผลประโยชน์ซึ่งกัน ความสัมพันธ์ที่เคยมีมาซึ่งดูเหมือนจะแน่นแฟ้นมากก็ต้องแตกสลาย เมื่อได้เห็นแล้วว่าไม่อาจจะนำความสัมพันธ์นั้นที่เคยมีให้ ถึงขนาดที่ได้อุปการะที่พักอาศัยและช่องทางต่างๆ ในการให้ญาติพี่น้องของอดีตนายกนักโทษได้มาพักชั่วคราว ในการหนีออกไปนอกประเทศเพื่อหลบหนีคดีทุจริตคอร์รัปชั่น
แต่ขณะนี้ประชาชนชาวไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกันนั้น เพื่อร่วมกันสร้างผลประโยชน์จำนวนมหาศาล น่าจะไม่สามารถจะดำเนินการไปสู่ข้อตกลงที่เคยมีไว้ได้ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก แล้วทำให้ผู้นำเขมรนำเอาเรื่องของพื้นที่เขตแดนที่อยู่ติดกัน มาเป็นประเด็นในการรุกรานประเทศ
นักวิชาการหลายท่านให้ความเห็นว่า หากเขมรนำเรื่องปัญหาพื้นที่เขตแดนฟ้องไปยังศาลโลก โดยยืนยันจะใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ ต่อ ๒ แสนได้สำเร็จ และศาลตัดสินให้ไทยแพ้ ประเทศไทยจะเสียพื้นที่ประเทศไปอีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งรวมทั้งพื้นที่บริเวณเกาะกูด ที่มีแหล่งทรัพยากรแก๊สและน้ำมันขนาดใหญ่อยู่ใต้พื้นทะเลบริเวณนั้นไปด้วย และหากเป็นอย่างนั้นตระกูลฮุน จะสร้างความร่ำรวยได้อย่างล้นฟ้าเลย ซึ่งดีที่การที่จะพิจารณาแบ่งปันทรัพยากรกันคนละครึ่งตามที่รัฐบาลไทยชุดนี้ได้เคยนำเสนอไว้เมื่อตอนเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินใหม่ๆ ไม่สามารถจะทัดทานเสียงคัดค้านทั้งจากนักปราชญ์ ราชบัณฑิต นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ ตลอดจนประชาชนชาวไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ที่น่าจะอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้มีอำนาจอิทธิพลบางคนที่คิดว่ายังมีอำนาจล้นฟ้า
ประกอบกับประเทศไทยเรา ไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๐๓ แล้ว
จะเห็นว่าลีลาพลิกลิ้นของผู้ที่สืบสายพันธุ์มาจากตะกวด ที่มีลิ้นสองแฉกนั้น ได้เริ่มสำแดงให้เห็น และทำให้ผู้นำของไทยซึ่งอ่อนแอทั้งประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ การตัดสินใจ รวมทั้งวุฒิภาวะ อันเป็นลักษณะที่ไม่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำของประเทศแต่อย่างใด ซึ่งพิสูจน์ได้แล้วจากผลงานบริหารที่ผ่านมาที่ทำให้ประเทศไทยเริ่มจมปลัก ไม่เห็นแสงสว่างของความเจริญเติบโตของบ้านเมือง ต้องตกเป็นเหยื่อจากการเจรจาทางโทรศัพท์กับพ่อของตระกูลฮุน จนทำให้ประชาชนคนไทยเชื่อว่าผู้นำของไทยน่าจะคิดคดทรยศต่อชาติ เป็นเรื่องอัปยศอย่างยิ่ง และควรที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ประเทศชาติจะเสียหายไปมากกว่านี้
การชุมนุมของประชาชนชาวไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐-๗๐,๐๐๐ คนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อ ๒๘ มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนของคนไทยหลายล้านคนที่มีความรักชาติรักแผ่นดิน ที่มาร่วมเรียกร้องให้นายกฯนางนี้ลาออกไป น่าจะพอเพียงให้นางเกิดทั้งความละอายและจิตสำนึกที่พอเพียงต่อการลาออกได้แล้วอย่าอยู่ต่อไปให้หนักแผ่นดินและผู้คนทั้งประเทศเขาสาปแช่งเลย
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี