ในบรรดาวรรณคดีที่เก่าแก่ของชาติไทยเรานั้น วรรณคดีที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกคือไตรภูมิพระร่วง หรือ เตภูมิกถา ซึ่งเชื่อกันว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระยาลิไท กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นนับแต่พระองค์ได้ครองเมืองศรีสัชนาลัยได้ ๖ ปี แม้เนื้อหาสาระของวรรณคดีเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นหลัก แต่ก็มีความงดงามในด้านสำนวนโวหารเป็นอย่างมาก มีบทพรรณนาทั้งเรื่องของนรกและสวรรค์ ซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความรื่นรมย์เพลิดเพลิน ไปตามอำนาจนึกเห็น อันเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของวรรณคดี
ถึงแม้ต้นฉบับของเตภูมิกถายังไม่มีความชัดเจน แต่ก็ปรากฏว่ามีฉบับที่ถูกบันทึกหรือจารไว้ในใบลานจำนวน
๑๐ ผูก ซึ่งพระมหาช่วย วัดปากน้ำ ได้จารึกไว้เป็นอักษรขอม เมื่อปีพ.ศ.๒๓๒๑ ในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งต่อมาได้มีการถอดอักษรขอมให้เป็นอักษรไทย แล้วตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๔๕๕ พร้อมกับตั้งชื่อว่า“ไตรภูมิพระร่วง”
การเปลี่ยนชื่อจากเตภูมิกถาหรือไตรภูมิกถามาเป็นไตรภูมิพระร่วงนั้น เกิดจากพระดำริของสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเห็นว่าบานแผนกของวรรณคดีนี้ใช้ชื่อไตรภูมิมาเป็น ๑๐ ครั้งแล้ว แต่ประชาชนคนทั่วไป นิยมที่จะเรียกพระนามของพระเจ้ากรุงสุโขทัยทุกพระองค์ว่าสมเด็จพระร่วงเจ้า ดังนั้นในการจัดพิมพ์เมื่อปีพ.ศ.๒๔๕๕ จึงสั่งให้ใช้ชื่อหนังสือนี้ว่าไตรภูมิพระร่วง
กรมศิลปากรได้ตรวจชำระวรรณคดีเรื่องนี้ ทั้งจากที่บันทึกใบลานฉบับต่างๆ รวมทั้งฉบับที่จัดแปลเป็นไทยแล้ว และได้มีการตีพิมพ์ใหม่โดยกรมศิลปากรในปีพ.ศ.๒๕๑๗ ให้ชื่อว่าไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง และต่อมาได้จัดพิมพ์ ไตรภูมิกถาฉบับถอดความในปีพ.ศ.๒๕๒๘ โดยมีการปรับสำนวนภาษาให้อ่านเข้าใจมากขึ้นกว่าฉบับเดิม
ในตอนหนึ่งของหนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้ ได้กล่าวถึงประเภทมนุษย์สี่แผ่นดินโดยกล่าวไว้ดังนี้
ฝูงกุมารมนุษย์ทั้งหลายอันเกิดมานี้มี ๓ สิ่ง
สิ่งหนึ่งชื่อว่าอภิชาติบุตร สิ่งหนึ่งชื่ออนุชาติบุตร สิ่งหนึ่งชื่ออวชาติบุตร อันว่าอภิชาตบุตรนั้นไส้ ลูกนั้นเฉลียวฉลาดช่างเชาว์เราเกลี้ยงดียิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ แลรู้หลัก นักปราชญ์ยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ ทั้งรูปนั้นก็งามกว่าพ่อกว่าแม่ มั่งมีเป็นดี มียศถาศักดิ์ มีกำลังยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ ลูกอันดีกว่าพ่อกว่าแม่ดังนี้ใช่ชื่อว่าอภิชาติบุตรแลฯ
ลูกอันเกิดมาแลรู้หลักเรี่ยวแรงแลรูปโฉมแต่พอเพียงพ่อเพียงแม่ทุกประการ ดังนั้นชื่อว่าอนุชาติบุตรแลฯ
ลูกอันเกิดมานั้นแลถ่อยกว่าพ่อกว่าแม่ทุกประการดังนั้นไส้ชื่อว่าอวชาติบุตรแลฯ
อันว่ามนุษย์ทั้งหลายนี้ ๔ จำพวก จำพวกหนึ่งชื่อว่าคนนรก อันหนึ่งชื่อคนเปรต จำพวกหนึ่งคือคนติรัจฉาน อันหนึ่งชื่อคนมนุษย์
ฝูงคนอันที่ฆ่าสิงสัตว์อันรู้กระทำการอันเป็นบาปนั้นมาถึงตน และท่านได้ตัดตีนสินมือและทุกข์โศกเวทนานักหนาดังเรียกชื่อว่าคนนรกแลฯ
จำพวกหนึ่งคนอันหาบุญอันจะกระทำบมิได้แล้วแต่เมื่อก่อน แลเกิดมาเป็นคนเข็ญใจนักหนาแลจะมีผ้าแลเสื้อรอบตนนั้นหาบมิได้ หาอันจะกินบมิได้ยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนา แลมีรูปโฉมโนมพรรณนั้นก็บมีงาม คนหมู่นี้ชื่อว่าเปรตมนุษย์แลฯ
คนอันที่มิรู้ว่าบุญแลบาป ย่อมเจรจาที่อันหาความเมตตากรุณามิได้ ใจกล้าหาญแข็งบมิรู้ยำเกรงท่านผู้เฒ่าผู้แก่ บมิรู้ปฏิบัติพ่อแม่แลครูบาธยอย บมิรู้รักพี่รักน้อง ย่อมกระทำบาปทุกเมื่อคนผู้นี้ชื่อว่าติรฉานมนุษย์แลฯ
คนอันที่ว่ารู้จักผิดแลชอบ แลรู้จักที่อันเป็นบาปแลบุญ แลรู้จักประโยชน์ในชั่วนี้ชั่วหน้า แลรู้ตัวแก่บาปแลละอายแก่บาป รู้จักว่ายากว่าง่าย แลรู้รักพี่น้อง แลรู้เอ็นดูกรุณาคนผู้เข็ญใจ แลรู้ยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่สมณพราหมณาจารย์ อันอยู่ในสิกขาบทของพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ แลรู้จักคุณแก้ว ๓ ประการไส้ แลคนฝูงนี้แลชื่อว่ามนุษยธรรมแลฯ
โดยคำว่าแก้ว ๓ ประการนั้นได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระรัตนตรัยนั่นเอง
ในส่วนเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือนี้ จะว่าด้วยคำสอนทางพุทธศาสนา ที่ถือและเชื่อกันว่าคนไทยได้ใช้ศึกษาเรียนรู้และสอนสั่งกันมายาวนานนับแต่สมัยสุโขทัยโดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องที่ว่าทำบาปจะตกนรก ทำบุญจะได้ขึ้นสวรรค์ อันเป็นการสอนพระพุทธศาสนาทางอ้อม ให้คนละเว้นการทำความชั่ว หมั่นพากเพียรทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ซึ่งคือบทสรุปของ
โอวาทปาติโมกข์ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นครั้งแรก ในวันเพ็ญเดือนมาฆะหรือเดือน ๓ หลังจากตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน
ย้อนกลับมาดูเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.๒๔๗๕ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ ร่วมกับคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งขึ้น และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทุกตำแหน่งที่กล่าวมานั้นมาจากการเลือกตั้ง ถูกรวมเรียกว่านักการเมือง
หากถามว่าการบริหารบ้านเมืองโดยนักการเมือง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าหรือไม่ ก็คงบอกได้เลยว่าขึ้นอยู่กับแต่ละยุคแต่ละสมัย และแต่ละบุคคล โดยภาพรวมความเจริญก้าวหน้าที่เกิดขึ้น ดูเหมือนจะเป็นการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องโดดเด่น ที่เป็นผลมาจากการบริหารของนักการเมืองหรือนักเลือกตั้งทั้งหลาย
แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนเมื่อนักการเมืองมาบริหารประเทศ คือกระบวนการโกงกิน ที่เรียกกันว่า การทุจริตคอร์รัปชั่น ที่เกิดขึ้นอยากมากมาย แทรกซึมไปอยู่ในทุกองค์กรของภาครัฐไม่ว่าจะเป็นระดับกระทรวงหรือลงมาจนถึงระดับตำบล
ทั้งทางตรงและทางอ้อม นำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างมากที่สุด
ที่เลวร้ายที่สุดก็คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เป็นผู้บริหารสูงสุดนั้น กลับกระทำการทุจริตคอร์รัปชั่นเสียเอง ดังที่ปรากฏชัดอย่างน้อยแล้ว๒ คนจากคำพิพากษาตัดสินของศาลให้ต้องโทษจำคุกจนถึงกลับต้องหนีคดีและการถูกต้องโทษจำคุกคุมขังไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ ผู้ที่เป็นนายกฯก็เป็นเชื้อสายของอดีตนายกฯที่โกงกินบ้านเมือง และเพิ่งจะถูกศาลสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ จากการยื่นคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่ประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบกันแล้ว
จึงมีคำถามว่า ประเทศของเรานี้ไม่มีนักเลือกตั้ง หรือใครที่มีคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ที่ดีงาม และพร้อมจะทำประโยชน์เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติอย่างแท้จริง นอกจากนักเลือกตั้งจากตระกูลชินที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวเลยหรือ
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ คณะรัฐมนตรีและนักเลือกตั้งที่มาร่วมอยู่ในฝ่ายรัฐบาล ยังมีความเต็มอกเต็มใจที่จะร่วมบริหารประเทศกับนายกฯที่น่าจะขาดคุณสมบัติ โดยมิได้คำนึงถึงความถูกผิดเช่นเดียวกัน จึงทำให้น่าคิดว่าหากไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นทั้งๆที่เป็นเรื่องอันจะทำให้ประเทศชาติต้องเสียหายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากนำเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ถูกกล่าวไว้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง มาเทียบกับคณะรัฐบาล เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงอยากจะเห็นความเป็นมนุษย์ ทั้งของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลที่ดีกว่าติรฉานมนุษย์ โดยถ้าเป็นคนมนุษย์ส่วนใหญ่ได้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีต่อชาติบ้านเมือง
และในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ควรจะต้องเลื่อมใสศรัทธาในแก้ว ๓ ประการ รวมทั้งการดำรงตนโดยยึดและปฏิบัติตามคำสอนโอวาทปาติโมกข์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้กล่าวไว้ว่า ให้ละเว้นการทำความชั่ว หมั่นพากเพียรทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วอยู่เสมอ
และถ้าเป็นไปตามนั้นได้จริงทั้งในหมู่นักการเมืองหรือนักเลือกตั้งทั้งหลายที่อยากจะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ก็น่าจะทำให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีมีสุข ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี