หลังจากการเสียอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ ชาติของเราก็เริ่มมีความอ่อนแอ เพราะนอกจากจะต้องสูญเสียชีวิตของทหารในการรบแล้ว ผู้คนพลเมืองจำนวนหนึ่ง
รวมทั้งแม่ทัพนายกองคนสำคัญก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย
ในช่วงเวลานั้นเขมรได้ฉวยโอกาสยกทัพมารุกรานอาณาจักรอยุธยาบ่อยครั้งโดยในปี พ.ศ.๒๑๑๓ พระบรมราชาที่ ๔ ได้ยกทัพมีกำลังพล ๓๐,๐๐๐ คน มาตีกรุงศรีอยุธยา ทัพของกรุงศรีอยุธยาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ จนเขมรต้องถอยกลับไป
ในปี พ.ศ.๒๑๑๔ พระบรมราชาที่๔ ก็ได้ยกทัพมีกำลังถึง ๗๐,๐๐๐ คน มาตีเมืองเพชรบุรี โดยครั้งแรกยังตีไม่ได้ ต้องถอยกลับไป ก่อนที่จะกลับเข้ามาตีอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เมืองเพชรบุรีต้องพ่ายแพ้ มีการกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สมบัติไปจำนวนมาก
หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ประกาศอิสรภาพที่เมืองแครงในปี พ.ศ.๒๑๒๗ พระองค์ได้ทำนุบำรุงบ้านเมือง รวมทั้งการสร้างกองทัพให้มีความเข้มแข็ง แม้แต่พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจะยกทัพเข้ามาปราบในปี พ.ศ.๒๑๒๘ และ ๒๑๓๐ ก็ยังพ่ายแพ้ไปทั้งสองครั้ง ซึ่งในช่วงเวลานั้น พระบรมราชาที่ ๕ ได้ฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาตีเมืองปราจีนบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงส่งพระยาศรีไสณรงค์กับพระยาสีหราชเดโชทัยยกทัพไปป้องกัน ตีทัพเขมรแตกพ่ายไป
หลังจากสมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์ และศึกทางพม่าว่างเว้นไป พระองค์ทรงเห็นว่าจะต้องกำราบเขมรที่ชอบแอบมาตีท้ายครัวให้เข็ดหลาบเสียที จึงทรงร่วมกับสมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชา ยกทัพไปตีเขมร พระบรมราชาที่ ๕ หรือพระยาละแวกยกทัพมาสกัดที่เมืองโพธิสัตว์และพระตะบอง แต่ถูกพระราชมนูซึ่งนำทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าตีจนพ่ายแพ้ไป และเข้ายึดเขมรไว้ได้
ในปี พ.ศ.๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงนำทัพไปตีเมืองละแวกซึ่งเริ่มกระด้างกระเดื่องเป็นครั้งที่ ๒ จับพระยาละแวกได้ แล้วทำพิธีปฐมกรรมตัดหัวเอาโลหิตล้างพระบาท เขมรตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง รวมระยะเวลาที่เขมรตกเป็นของเมืองไทยยาวนานประมาณ ๔๐๐ ปี จนถึงยุคล่าอาณานิคม ของชาติตะวันตก และต้องตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
ละแวก เป็นชื่อเมืองหลวงของเขมรในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยแต่เดิมนั้นเมืองหลวงของเขมรอยู่ที่พนมเปญและอุดรมีชัย ในปี พ.ศ.๒๐๔๖ สมเด็จพระศรีสุคนธบทซึ่งครองราชย์อยู่ที่เมืองพนมเปญถูกกบฏปลงพระชนม์ นักองค์จันผู้เป็นพระอนุชาได้หนีมาพึ่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้ช่วยยกทัพไปช่วยปราบปรามจนได้รับชัยชนะ ในปี พ.ศ.๒๐๕๙ ได้สถาปนานักองค์จันขึ้นครองราชย์เป็นพระบรมราชาที่ ๒ ปกครองเมืองละแวก นับเป็นเมืองหลวงใหม่ กษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระบรมราชาที่ ๓ หรือพระยาละแวกองค์แรก ที่ประกาศอิสรภาพจากกรุงศรีอยุธยา
ในปี พ.ศ.๒๑๑๙ นักพระสัตถาพระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระบรมราชาที่ ๔ ซึ่งต่อมาก็ได้มีพระราชโองการสถาปนาพระราชโอรสองค์หนึ่งขึ้นเป็นพระบรมราชาที่ ๕
เชื่อกันว่า พระบรมราชาที่ ๔ และ ๕ นั้น มีความเจ็บแค้นฝังใจ ที่คิดว่าขอมเคยยิ่งใหญ่ในย่านนี้แต่ถูกกรุงศรีอยุธยายกทัพมาทำลายจนย่อยยับในสมัยสมเด็จพระเจ้าสามพระยา ซึ่งในช่วงนั้นเขมรไม่อาจจะแก้แค้นได้ จนเมื่อไทยเริ่มอ่อนแอลงหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ จึงเริ่มยกทัพเข้ามารุกราน
ต่อมาอีก ๕ ปี เขมรทราบว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชายกทัพไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดีเพื่อตีกรุงศรีสัตตนาคณหุต พระบรมราชาที่ ๔ จึงยกทัพเรือเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา จนถึงวัดพนัญเชิง แต่มาเจอทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เสด็จกลับมา เนื่องจากพระองค์เกิดเป็นไข้ทรพิษกลางทาง จึงถูกทัพของสมเด็จพระนเรศวรฯตีจนแตกพ่ายไป
จากเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดจะเห็นว่า กษัตริย์เขมรซึ่งเคยถูกกบฏและพ่ายแพ้ จนต้องมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาซึ่งก็ได้ส่งกองทัพไปช่วยปราบกบฏ จนกลับขึ้นมาครองราชย์ได้ใหม่ แต่เมื่อถึงชั้นพระโอรสและเชื้อสายที่ครองราชย์กันต่อมานั้น ไม่เคยสำนึกในบุญคุณที่พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้เคยช่วยเหลือแต่ประการใด กลับเนรคุณคิดคดทรยศ ยกทัพแอบมาตีท้ายครัวกรุงศรีอยุธยา และเมืองต่างๆ ของ อาณาจักรอยุธยาอยู่ตลอดเวลา
เขมรอาจจะคิดว่าเคยเป็นกลุ่มชนที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งหมายถึงพวกขอม แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้น ขอมน่าจะหมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยารวมทั้งแม่น้ำโขงด้วย และแม้แต่ในปัจจุบันนี้เขมร ก็ไม่เคยเรียกตัวเองว่าขอม โบราณสถานที่เป็นศาสนสถานสำคัญทั้งหลายนั้น สร้างขึ้นโดยพวกขอม อาทิ นครวัด ที่สร้างโดยสุริยวรมันที่ ๒ ซึ่งเป็นกษัตริย์ของขอม หรือปราสาทพนมรุ้งในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่สร้างโดยนเรนทราทิตย์ ผู้เป็นเชื้อสายของสุริยวรมันที่ ๒
ตามที่กล่าวมาแล้วว่าเขมรตกเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศราชของไทยอยู่เป็นระยะเวลาหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาถึงอาณาจักรรัตนโกสินทร์ กระทั่งถึงยุคที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติที่เป็นนักล่าอาณานิคมเข้ามารุกราน ทำให้เขมร ตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.๒๔๐๖
คงจะเป็นปมด้อยของผู้ปกครองเขมรในยุคปัจจุบันนี้ในด้านความรู้สึกที่มีต่อประเทศไทย จึงมีความพยายามที่จะเรียกร้องดินแดนบางส่วนที่อยู่ใกล้ชายแดนเขมร และมีปราสาทที่สร้างในยุคขอมตั้งอยู่ เนื่องจากหลังจากที่ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเขมรและเกิดกรณีพิพาทกับไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ในที่สุดได้มีการตกลงแบ่งเขตแดน โดยยึดถือเอาสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักระหว่าง ประเทศทั้งสองเป็นหลัก ไม่มีการปักหลักเขตเป็นระยะทางนับร้อยกิโลเมตร ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน จึงเป็นประเด็นข้อพิพาทเสมอมา นอกจากนี้เขมรยังยืนยันเขตแดนของตนเองโดยใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่หยาบมาก ในขณะที่ประเทศไทยใช้แผนที่มาตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ซึ่งละเอียดกว่า
ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ได้มีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดน โดยเขมรได้ฟ้องต่อศาลโลกซึ่งฝรั่งเศสมีอำนาจและอิทธิพลต่อศาลนี้มาก และทำให้ไทยต้องเสียเขาพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบขนาด ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ทำให้ไทยประกาศไม่ยอมรับศาลโลกอีกต่อไปตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๓
จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่ฮุนเซนและนายพลฮุน มาเนต ที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเขมรในปัจจุบันนี้คิดกำเริบเสิบสานที่จะรุกรานและเข้ายึดครองพื้นที่ และปราสาทที่อยู่ติดกับชายแดนไทยในครั้งนี้ โดยการประกาศอย่างชัดเจนว่าจะนำเรื่องนี้ฟ้องศาลโลกเพื่อตัดสินให้เขมรได้ครอบครองปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาควาย รวมทั้งพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย เขมรและลาว
เขมรเริ่มต้นรุกรานโดยนำทหารเข้ามาขุดหลุมเพาะในพื้นที่เขตติดต่อ ซึ่งยังไม่สามารถจะระบุได้ว่าเป็นของใคร เป็นแนวยาวถึง ๖๕๐ เมตร บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยต้องเข้าไปเจรจาและเกิดการสู้รบโดยเขมรเป็นฝ่ายยิงก่อน ทำให้ทหารไทยต้องยิงต่อสู้ มีทหารเขมรเสียชีวิต ๑ นาย ทำให้เขมรเคลื่อนกองทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าประชิดชายแดนไทย ทำให้ฝ่ายไทยต้องดำเนินการในรูปแบบเดียวกันเพื่อปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับอาณาจักรอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น เขมรจะถูกทัพไทยที่อยู่ภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ ที่ต้องถือว่าเป็นผู้สร้างชาติและจอมทัพ ยกทัพเข้าโจมตีรุกไล่ศัตรูผู้รุกรานอย่างแน่นอน และเชื่อได้เลยว่าทัพไทยจะได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด
แต่ในปัจจุบันนี้ที่ไทยมีนายกฯหญิงที่อ่อนแอทั้งประสบการณ์ ความรู้ความสามารถในการที่จะบริหารประเทศ รวมทั้งไม่มีชั้นเชิงอย่างไรทั้งสิ้น และยังอยู่ภายใต้การครอบงำของอดีตนายกนักโทษผู้พ่อ และยังมีรัฐมนตรีซึ่งเป็นเพียงไม้ประดับที่เห็นได้ชัดเจนในทุกครั้งที่มีการแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี จึงทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างและกำหนดกลยุทธ์ ในการที่จะตอบโต้กับเขมรได้ โดยประกาศแต่เพียงว่าจะใช้การเจรจาโดยสันติ ซึ่งก็น่าจะมาจากสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างอดีตนายกนักโทษและฮุนเซน ซึ่งเคยเอื้อเฟื้อให้อดีตนายกฯผู้นี้รวมทั้ง
เครือข่ายที่กระทำผิดกฎหมายของประเทศไทย หนีออกไปพักอาศัยก่อนที่จะเดินทางต่อไปอยู่ยังประเทศอื่นเพื่อหนีคดี
เมื่อผู้บริหารระดับสูงสุดไม่มีความสามารถในการจัดการเรื่องนี้ ก็ควรจะต้องให้กองทัพไทย โดยเฉพาะกองทัพบกและกองกำลังของกองทัพภาคที่ ๒ ที่เข้มแข็งมาก ซึ่งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการปกป้องประเทศชาติจากศัตรูผู้รุกรานซึ่งก็เห็นได้ชัดว่ากระแสสังคมของชาวไทยที่รักชาติ ได้ออกมาสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่
ไม่ใช่แค่เรื่องการป้องกันประเทศเท่านั้นที่รัฐบาลชุดนี้อ่อนแอ แต่การบริหารอื่นๆ ก็อ่อนแอไปทั้งหมด น่าจะถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายควรจะยุติบทบาท
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี