เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ในท้ายที่สุด สูตรการคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า จบลงด้วยการหารด้วย 100 พร้อมกับกติกาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แน่นอนว่าแม้จะบอกว่าทุกคนน่าจะได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อผลเคาะออกมาจริง ได้ส่งผลเป็นวงกว้าง บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ที่ไม่ว่าได้ประโยชน์หรือไม่ก็ต้องเตรียมความพร้อมของพรรคตลอดจนปรับยุทธศาสตร์ด้านคะแนนให้สอดคล้องกับรูปแบบการคำนวณที่ออกมา ส่วนในพรรคที่ประเมินว่าตนเองเสียประโยชน์เมื่อระฆังเคาะแบบนี้แล้วอาจจะต้องตัดสินใจอะไรใหม่หรือไม่?
หลายคนอาจมองว่า สูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อ ที่ออกมาแบบนี้เชื่อว่าน่าจะทำให้พรรคเล็กที่เคยประสบความสำเร็จเมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 รอบนี้อาจไม่ฉลุยเหมือนเก่า ซึ่งหากพรรคเล็กไม่มีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์หรือแบบแผน เพื่อให้สอดรับกับศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยกติกาที่ไม่ถนัดก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พรรคเล็กไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้แต่ความเป็นจริงหากวิเคราะห์แยกกลุ่มดีๆ ก็คงไม่ใช่สำหรับทุกพรรคเสมอไปหรือไม่?
อย่างในกรณีของพรรคเล็กที่มีอายุมายาวนาน มีฐานสมาชิกพรรคดั้งเดิมอยู่ระดับหนึ่ง และมีประสบการณ์ในสายการเมืองเป็นทุนเดิม ก็ดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากรูปแบบและกติกามากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีลักษณะเฉพาะ และฐานคะแนนเสียงในบางพื้นที่ที่ดูจะไว้วางใจได้ในระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับพรรคประชาชาติ ที่แม้จะพึ่งก่อตั้งไม่นานแต่ด้วยความที่มีจุดยืนชัดเจนและมีฐานที่มั่นในเขตดินแดนด้ามขวานทองที่เป็นโจทย์ยากของทุกพรรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถออกนโยบายเฉพาะกลุ่มแบบนี้ได้ จึงยากต่อการตีฐานที่มั่นของพรรคการเมืองเจ้าถิ่น ที่มีความผูกพันกับท้องที่มานาน ตลอดรวมถึงพรรคที่มีอุดมการณ์ด้านความเชื่อ สถานการณ์ของพรรคการเมืองขนาดย่อมดังกล่าวจึงไม่น่าห่วงมากนัก แถมยังอาจมีโอกาสเติบโตต่อได้ตามช่วงจังหวะเวลา กลุ่มนี้จึงไม่ถือเป็นพรรคเล็กเสียทีเดียวนัก
ผิดกับพรรคเล็กที่พึ่งก่อตั้งเมื่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้วและมีที่นั่งต่ำกว่า 10 ที่ก็น่าสนใจว่าในท้ายที่สุดจะมีกระบวนการตัดสินใจอย่างไรต่อไป เพราะพรรคการเมืองขนาดย่อมที่เพิ่งก่อตั้ง ก็ดูจะเสียเปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบและกติกาแบบที่ไม่ใช่ปี 2562 ก็ต้องคอยเฝ้าดูกันต่อไปว่า ในท้ายที่สุดแล้วพรรคเล็กที่มีอายุการก่อตั้งไม่นานนี้ จะมีท่าทีต่อข้อสรุปของกฏิกาทั้งหมดอย่างไรต่อไปจะดูดคน ควบรวมพรรค หรือจะสลายไปตามวัฏจักรของการเมือง ดังที่เคยปรากฏในอดีตกันแน่?
เช่นเดียวกับพรรคการเมืองใหม่ที่พึ่งตั้งขึ้นหลังรัฐธรรมนูญ 2560 แต่ยังไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง กลุ่มนี้พึ่งตั้งขึ้นใหม่ในปีสองปีนี้เองซึ่งแน่นอนตอนก่อตั้งยังไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกติกาเลือกตั้ง ก็อาจกำลังต้องวางยุทธศาสตร์หรือต้องตัดสินใจอะไรกันใหม่หรือไม่เช่นกัน
อย่างไรก็ตามพรรคการเมืองขนาดย่อม และพรรคการเมืองใหม่ที่พึ่งตั้งขึ้นนี้ มีสถานการณ์ไม่แน่นอน จึงจะดูมีทางออกไม่มากนัก
ทางออกแรกคือ พรรคขนาดเล็กอาจต้องรวมตัวกัน ให้ขนาดของพรรคนั้นใหญ่ขึ้น พอที่จะทัดเทียมหรือต้านทานพรรคขนาดใหญ่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นการควบรวมพรรคในลักษณะนี้อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น การก่อกำเนิดของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่เป็นการผนึกกำลังของพรรคการเมืองใหม่กับพรรคการเมืองเดิมขนาดเล็ก
ทางออกที่สอง ที่อาจมีพรรคการเมืองบางพรรค กำลังวางแผนอยู่ก็คือการตัดสินใจเพื่อที่จะไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองเดิมที่มีขนาดใหญ่ แต่ในรูปแบบนี้อาจจะไม่หลงเหลือภาพพรรคใหม่เลยเพราะพรรคเดิมมีทั้งภาพลักษณ์ จำนวนคนและโครงสร้างที่แข็งแรงอยู่แล้ว? งานนี้อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์นิดหน่อยแต่ดีกว่าเดินแบบเดิมในกติกาใหม่
และทางออกที่สาม คือปรับตัวปักธงเป็นพรรคใหม่ขนาดใหญ่เลย โดยมีการันตี ดึงอดีตสส.หรือสส.ปัจจุบันมาให้ได้มากที่สุด แต่การเริ่มสร้างแบรนด์ใหม่แบบนี้ ก็ต้องมีปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่มากกว่าผู้สมัครก็คือหัวหน้าพรรคหรือแคนดิเดตนายกฯของพรรคต้องชื่อชั้นดีดึงดูดได้ แบบที่พรรคใหม่เมื่อปี 2562 อย่างพลังประชารัฐและอนาคตใหม่ ประสบความสำเร็จมาแล้ว
แต่ด้วยกติกาใหม่นี้ ที่มองกันว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ไม่ว่าฝั่งใดดูจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เพราะนอกจากกติกาการเลือกตั้ง และรูปแบบการคำนวณ สส. ระบบบัญชีรายชื่อที่ต้องบอกว่าเข้าทางสุดๆ แล้ว ก็อาจเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญของพรรคใหญ่ ที่จะได้ต้อนรับนักการเมืองจากบรรดาพรรคขนาดย่อม ที่ตัดสินใจหาต้นสังกัดใหม่
กระแสข่าวลือสะพัดและเป็นจริงโดยไม่ต้องรอนาน เกี่ยวกับการโยกย้ายสังกัดของนายมิ่งขวัญ อดีตแม่ทัพพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงมีกระแสถูกจับไปเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกระแสดังกล่าวสุดท้ายก็ไม่ใช่กระแสโคมลอย
ซึ่งแม้ว่าการที่นายมิ่งขวัญ มือดีที่มีภาพลักษณ์ดีด้านเศรษฐกิจ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ และถือเป็นผลดีต่อพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่น้อย แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือการดันนายมิ่งขวัญเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ พาให้แตกตื่นกันทั้งบาง
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐ ก็ดูจะอยู่ในเส้นทางที่ไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่นัก ทั้งจากการที่ยังมีขุนพลหลักตัวจริง อีกทั้งนักการเมืองภายในสังกัดก็ดูจะมีกระแสข่าวและแนวโน้มในการย้ายออกอยู่เสมอ ผิดกับขาเข้าที่ยังไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกลำดับต้นๆ ของ สส. ที่ต้องการหาสังกัดใหม่แบบเมื่อปี 2562 อีกแล้วหรือไม่ แต่เพราะเหตุใดชื่อชั้นของนายมิ่งขวัญ จึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่ก็น่าจะมีพรรคการเมืองหลายพรรคอ้าแขนรับอยู่ไม่น้อยหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ประชาชนรวมถึงสื่อมวลชน ก็คงตั้งข้อสงสัยกับการกระทำของนายมิ่งขวัญไม่ใช่น้อย เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นโดยกระบวนการของรัฐสภาฯ หรือกระบวนการต่างๆ นายมิ่งขวัญก็ดูจะมีแนวทางที่ดูจะอยู่ตรงข้ามกับพลเอกประยุทธ์ รวมถึงขั้วการเมืองฝ่ายรัฐบาลมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่พลังประชารัฐของนายมิ่งขวัญน่าสนใจไม่น้อยว่าอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของ สส. ที่กำลังตัดสินใจย้ายออกจากพลังประชารัฐให้ต้องคิดใหม่หรือไม่?
นอกจากนี้หากประเด็นเรื่องพลเอกประยุทธ์เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจของนายมิ่งขวัญจริง ก็ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ก็อาจมี สส. บางท่านที่มีเหตุผลเดียวกับนายมิ่งขวัญตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่พลังประชารัฐเพิ่มเติมหรือไม่?
อย่างในกรณีของร้อยเอกธรรมนัส ซึ่งอาจถูกมองว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับพลเอกประยุทธ์ จนในท้ายที่สุดก็ต้องก้าวขาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่จะย้ายสังกัดไปอยู่กับพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งก็น่าคิดว่าหากร้อยเอกธรรมนัสยังสังกัดอยู่กับพรรคพลังประชารัฐในยามนี้ ก็อาจส่งผลให้พรรคเล็กตัดสินใจตบเท้าเข้าแถว เพื่อเตรียมเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐก็เป็นได้หรือไม่? เพราะหากยังจำกันได้ร้อยเอกธรรมนัสเป็นหนึ่งในผู้ประสานระหว่างพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคการเมืองขนาดเล็ก ซึ่งร้อยเอกธรรมนัสก็น่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมพรรคเล็กให้เข้ามาร่วมสังกัดอย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ตอนนี้จะให้ร้อยเอกธรรมนัสมาเดินเครื่องจับมือระหว่างพรรคคงยาก ไม่ใช่เพราะออกจากพรรคแล้วไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทยแต่เพราะว่าตอนนี้กระแสเรื่องทุนจีนสีเทา กลับมีการปรากฏชื่อของร้อยเอกธรรมนัสว่าอาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้โดยไม่มีประเด็นเราอาจเห็นพลังประชารัฐพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในร่างใหม่ หรือไม่?
และยิ่งหากพลเอกประยุทธ์เปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่เป็นกระแสข่าว ก็อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่โดนใจร้อยเอกธรรมนัสไม่มากก็น้อยหรือไม่? เพราะหากร้อยเอกธรรมนัสตัดสินใจที่จะกลับเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ สส. จากพรรคเศรษฐกิจไทย และสส.พรรคเล็กจำนวนไม่น้อย ก็น่าจะย้ายสังกัดกลับมาพรรคพลังประชารัฐแบบยกทีมหรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้นทิศทางของพรรคพลังประชารัฐก็อาจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
แม้ทิศทางของพรรคพลังประชารัฐจะสะดุดอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อประเมินแล้ว ก็ใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะเข้าตาจนเสียทีเดียว อาจเพราะด้วยแม่ทัพของพรรคพลังประชารัฐเป็นพลเอกประวิตร ผู้ซึ่งมากด้วยบารมี ซึ่งน่าจะสามารถพอรั้งให้ สส. ขุนพลคนหลักยังสังกัดอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ แม้จะมี สส. บางท่านที่ตัดสินใจโยกย้ายสังกัดไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมาชิกพรรคเพียงเท่านั้น และว่ากันตามตรง สส. ที่ยังคงตัดสินใจปักหลักอยู่กับพรรคพลังประชารัฐอยู่ ก็ล้วนแล้วแต่เป็น สส.ที่แข็งพอที่จะสามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งสิ้น ซึ่งสถานภาพของพรรคพลังประชารัฐอาจจะไม่ใหญ่โตเหมือนดังเดิม แต่หากได้กำลังเสริมที่แข็งแกร่งเข้ามาก็น่าจะทำให้พรรคพลังประชารัฐสามารถพลิกวิกฤตของพรรคอื่น ให้กลายเป็นโอกาสของตนเองได้หรือไม่?
และเมื่อกติกาและรูปแบบการเลือกตั้งได้ข้อสรุปออกมาแล้ว สายตาของประชาชนหลายก็คงจับจ้องไปที่ภาคอีสาน สังเวียนของมวยคู่เอก ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย หนึ่งในคู่ชกที่สมศักดิ์ศรีมากที่สุด ซึ่งหากวัดกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว มุมแดงก็ดูจะเหนือกว่ามุมน้ำเงินอยู่นิดๆ ด้วยประสบการณ์ และชื่อเสียงของพรรค อีกทั้งรูปแบบและกติกาการเลือกตั้งก็ดูจะเอื้อกับพรรคเพื่อไทยมากกว่า ไม้เด็ดเรียกคะแนนเสียงอย่างหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็คงเป็นที่ไม่ว่าจะขึ้นพูดที่ไหน พูดอะไร ก็ดูจะดึงดูดให้กับเหล่าแม่ยก พ่อยกไปเสียหมด
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจประมาทพรรคภูมิใจไทยได้ ด้วยสถานการณ์ของพรรคภูมิใจไทยที่ดูจะมีความพร้อมที่สุด แต่เมื่อต้องสู้กันภายใต้กติกาที่ไม่ถนัด ศึกเลือกตั้งในครั้งที่กำลังจะลั่นระฆังก็เป็นหนึ่งในบททดสอบที่สำคัญสำหรับพรรคภูมิใจไทยว่าพร้อมที่จะขยับสถานภาพของพรรคจากพรรคขนาดกลางให้กลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ได้หรือไม่?
และทุกครั้งที่มีข่าวว่า สส. จากสังกัดพรรคการเมืองต่างๆจะย้ายบ้าน พรรคภูมิใจไทยก็มักจะเป็นหนึ่งในสังกัดที่ถูกจับไปโยงว่าอาจเป็นหนึ่งในสถานีต่อไปเหล่าบรรดา สส. อย่างสม่ำเสมอ และยิ่งเมื่อได้ข้อสรุปถึงรูปแบบและกติกาการเลือกตั้งที่ออกมา ก็อาจจะมีสส.อีกบางส่วนที่มาจากพรรคที่มีความเสี่ยงตัดสินใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยหรือไม่?
ซึ่งล่าสุดนี้เองก็ยังมีกระแสข่าวว่า มี สส.จากทั้งพรรคเพื่อไทยพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมพลัง เตรียมที่จะย้ายสังกัดมาเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งนายอนุทิน ในฐานะแม่ทัพพรรคภูมิใจไทยก็ไม่วายถูกสื่อมวลชลตั้งคำถามในขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว แต่ท่าทีของนายอนุทินก็ยังปฏิเสธแบบไม่เต็มปาก พร้อมแย้มว่าทุกคนต่างมีท่าทีของตนเอง พร้อมทั้งมีการกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงโค้งสุดท้าย สส. ต้องมีการประเมินสถานการณ์ของพรรคสังกัดที่ต้องการย้ายไปทั้งสิ้น แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการจับมือกันขนาดนั้น
ซึ่งแม้จะเป็นคำตอบที่ดูจะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนมากนัก อีกทั้งกระแสข่าวเรื่องการย้ายสังกัดเข้าพรรคภูมิใจไทยนั้นก็มีมาให้เห็นอยู่ตลอด แต่ไม่ว่ากระแสดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม นั่นก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พรรคภูมิใจไทยก็ยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญต่อนักการเมืองที่ต้องการหาต้นสังกัดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดใดก็ตาม
และเมื่อกติกาและรูปแบบการเลือกตั้งที่ออกมา จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ ที่ทำให้บรรดานักการเมืองจากพรรคเล็ก อาจต้องเร่งกระบวนการในการตัดสินใจให้เร็วขึ้น เพราะหากตัดสินใจล่าช้า ก็อาจส่งผลต่อการเตรียมตัวในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่อาจล่าช้าไม่ทันการ และอาจส่งผลโดยตรงต่อการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“บุรุษที่ปราศจากความทะเยอทะยานอยาก ไม่อาจนับเป็นบุรุษที่แท้จริง”
โกวเล้ง จาก ยอดมือปราบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี