ปี 2547 เป็นปีที่ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่ว ย้ำๆๆๆ แล้วก็ขีดเส้นใต้หลายๆ เส้นว่า ในปี 2547 มีเหตุการณ์ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศไทยรั่ว ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่วในสมัยที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี รั่วในสมัยที่ วรเดช จันทรศร เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และอดิศัย โพธารามิกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และยังมีอีกชื่อหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่วคือ ศศิธร อหิงสโก ผู้อำนวยการสำนักทดสอบกลาง สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
หลังจากกรณีข้อสอบรั่วปรากฏชัดจนสาธารณชนรับรู้กันทั่วประเทศ วรเดชก็ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา แล้วจากนั้นไม่นานวรเดชก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ขอย้ำอีกทีว่า ปี 2547 เป็นปีที่เกิดปัญหาข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศไทยรั่ว แล้วในปีดังกล่าวก็ปรากฏว่าลูกสาวคนเล็กของทักษิณชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ในขณะนั้นพจมานยังไม่ได้หย่าขาดโดยนิตินัยกับทักษิณ) คือแพทองธาร ชินวัตร สอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้ในคณะรัฐศาสตร์ (ภาควิชาสังคมวิทยา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนที่แพทองธารจะมีชื่อสอบติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีข่าวปรากฏชัดเจนว่ามีความพยายามจะเข้าไปศึกษาต่อในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคพิเศษ ภาคภาษาอังกฤษ แต่ก็ปรากฏถึงความไม่โปร่งใสในการเข้าไปศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ จนทำให้ต้องหาทางใหม่เพื่อที่จะเข้าไปศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้จงได้
หลายคนยังจดจำได้ดี หลังสังคมวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามอย่างเข้มข้นถึงกรณีที่แพทองธารมีชื่อว่าสอบเข้าเรียนภาคพิเศษของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ โดยผู้ที่เป็นเดือดเป็นแค้นมากที่สุดเห็นจะได้แก่ทักษิณ จนทักษิณออกมาตอบโต้สังคมที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ว่า แพทองธารเป็นลูกนายกฯ ไม่ใช่ลูกโจร แล้วก็สอบเข้านิเทศฯจุฬาฯ ได้ โดยอาศัยเกณฑ์ตามแผ่นพับของคณะนิเทศฯจุฬาฯ (http://oldforum.serithai.net/index.php?topic=29383.0;wap2)
เกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าเรียนนิเทศฯ ภาคพิเศษคือ ต้องมีคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPA) ไม่ต่ำกว่า 2.75 ซึ่งข้อนี้แพทองธารได้ GPA น้อยกว่า 2.75 คุณสมบัติข้อต่อไปคือ ได้คะแนนสอบวิชาภาษาไทย อังกฤษ สังคมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมแล้วไม่น้อยกว่า 200 คะแนน มีคะแนนสอบ TOFEL หรือเทียบเท่าไม่น้อยกว่า 500 คะแนน
จากกรณีแพทองธารมีชื่อสอบติดนิเทศฯภาคพิเศษได้ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้ปกครองที่ลูกสามารถทำคะแนน GPA ได้ 2.90 ทำคะแนนสอบสี่วิชาได้ 227 คะแนน และสอบ TOFEL ได้ 543 คะแนน แต่กลับไม่มีชื่อลูกในการสอบเข้าคณะนิเทศฯ จุฬาฯ ภาคพิเศษ ในขณะที่แพทองธารได้ GPA ไม่ถึง 2.75 แต่กลับมีชื่อได้เข้าเรียนนิเทศฯ จุฬาฯ ภาคพิเศษ
กลับไปพูดถึงประเด็นแพทองธารสอบติดคณะรัฐศาสตร์ฯ จุฬาฯ ก็พบว่ามีการทำคะแนนสอบครั้งหลังได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง (https://siamrath.co.th/n/293267) เปรียบเทียบคะแนนการสอบสองครั้งดังนี้ ภาษาไทย 52 เพิ่มเป็น 72 คะแนน สังคมศาสตร์ จาก 41.25 เป็น 67.5 คะแนน ภาษาอังกฤษ จาก 64 เป็น 84 คะแนน คณิตศาสตร์2 จาก 27 เป็น 63 คะแนน ข้อย้ำว่าการได้คะแนนเพิ่มอย่างมหัศจรรย์พันลึกนี้ ทำให้แพทองธารสอบเข้าเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งการได้คะแนนเพิ่มแบบพิสดารนี้เกิดขึ้นหลังจากวรเดชเปิดข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี 2547 ออกแล้ว
คนที่เคยสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐของไทยต่างรู้ดีว่าการทำให้คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มในการสอบแต่ละครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก การทำให้ได้คะแนนเพิ่มแค่เพียงวิชาละ 1-2 คะแนนก็เป็นเรื่องที่แสนยากเข็ญ เพราะการแข่งขันในอดีตนั้นสูงมาก ดังนั้นจึงยากมากที่จะมีใครทำคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ครั้งละเกิน 2-3 คะแนน หากสามารถทำคะแนนเพิ่มได้โดยง่ายแล้ว คนที่สอบเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ได้แล้ว คงสามารถสอบใหม่เพื่อเข้าไปเรียนคณะแพทยศาสตร์ หรือทันตแพทยศาสตร์ ได้ทั้งคณะแล้วแต่สำหรับการได้คะแนนเพิ่มแบบมหัศจรรย์พันลึกของแพทองธาร โดยเพิ่มคะแนนได้ถึงวิชาละ 20-35คะแนน ต้องนับว่าเป็นเรื่องที่หากว่ากันตามปกติแล้ว ไม่มีวันเป็นไปได้เป็นอันขาด แต่สำหรับแพทองธารที่มีพ่อเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เธอสามารถทำได้ จนมีคำกล่าวขานในช่วงเวลานั้นว่า สอบติดจุฬาฯ เพราะพ่อ (เป็นนายกฯ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี