ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนแรกที่ติดคุก
แต่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่ติดคุก จากคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
1. ฝ่ายการเมืองฝั่งทักษิณ พยายามปั่นกระแส ยกย่องชื่นชมทักษิณ ราวกับวีรบุรุษ
แต่ความจริง นี่คืออดีตนายกฯที่กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบ จนถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ฐานร่ำรวยผิดปกติ และพิพากษาว่าทุจริตประพฤติมิชอบ มีความผิดทางอาญา 3 คดี ต้องโทษจำคุก รวม 8 ปี แต่หนีคดีไปต่างประเทศ เคลื่อนไหวทางการเมืองยาวนาน (เกิดเหตุการณ์เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ล้มประชุมอาเซียน ฆ่าทหาร ก่อการร้ายกลางกรุง) และยังมีลูกน้องและคนใกล้ชิดทุจริตติดคุกอีกหลายคน แล้วเมื่อทักษิณกลับมารับโทษก็ยังไม่ยอมติดคุกจริงๆ ทั้งๆ ที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปีแต่กลับไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผิดกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง กระทั่งศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ มีคำสั่งให้ต้องกลับเข้าคุกจริงๆ ต้องรับโทษจำคุก 1 ปี ตามคำพิพากษาเดิม
ถามว่า มันน่ายกย่องตรงไหน? มีอะไรน่าภูมิใจ?
หนีคดีก็แล้ว พยายามรับโทษแบบไม่ติดคุกจริง จนถูกจับได้ก็แล้ว
ถ้าศาลตัดสินว่าผิดปุ๊บ เดินเข้าคุกปั๊บ ทันที แบบเสก โลโซ หรือนายวัฒนา เมืองสุข และคนอื่นๆ ยังดูดีเสียกว่า
2. คำสั่งศาลฎีกาฯ ชอบด้วยเหตุผล และตัวบทกฎหมาย
ทำให้เกิดความกระจ่างชัดในความจริงเรื่องชั้น 14 หลังโต้เถียงกันมานาน (รายละเอียดสำคัญอยู่ในข้อเขียนเมื่อวานนี้)
คำสั่งศาลฎีกาฯ ยืนยันชี้ขาดว่า ที่นักโทษอ้างว่าป่วยจนถึงขนาดต้องออกไปรักษานอกเรือนจำตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 นั้น เป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ย้ำว่า กลับไปจำคุก 1 ปี นี่คือผลจากการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ 3 คดี (ได้ลดโทษแล้ว)
ไม่ใช่ผลจากการกระทำผิดฐานไปอยู่ชั้น 14 ซึ่งเกิดเป็นคดีอาญาของเหล่าข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ แพทย์ มาตรา 157 และอาจรวมถึงตัวนายทักษิณมีส่วนร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ขณะนี้ อยู่ในการพิจารณาไต่สวนของ ป.ป.ช.
สำหรับโทษของการกระทำผิดฐานช่วยเหลือนักโทษไปอยู่ชั้น 14 โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่มิชอบนั้น มีโทษจำคุกหนักกว่าจำคุก 1 ปี ด้วยซ้ำ
ผู้สนับสนุน หรือตัวการร่วม ก็จะมีความผิดด้วย
3. อดีตนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ปากบอกสำนักในพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษ ขณะเดียวกัน ยังพยายามจะบอกว่าโทษจำคุก 1 ปี ก็ยังหนักอยู่
เครือข่ายการเมือง ก็พยายามสร้างความสับสนในสังคม ราวกับว่าทักษิณไม่ได้ทำอะไรผิด หรือทำผิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ความจริง ทักษิณติดคุกเพราะอะไร? เป็นคดีทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไร? อ่านจบ เคลียร์เลย คุณสันติสุข มะโรงศรี พิธีกรรายการ Top News เคยสรุปไว้ ดังนี้
3.1 น.ช.ทักษิณกำลังรับโทษจากคำพิพากษาจำคุก จากคดีทุจริตประพฤติมิชอบ คดีถึงที่สุดแล้ว 3 คดี
ได้แก่ 1.คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ จำคุก 3 ปี 2.คดีหวยบนดินจำคุก 2 ปี และ 3.คดีแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป จำคุก 5 ปี
แต่ปรากฏว่า มีเพียงคดีที่ 3 ที่ศาลสั่งให้นับโทษต่อจากสองคดีแรก
เมื่อสองคดีแรกระยะเวลารับโทษจำคุกทับซ้อนกัน เท่ากับว่า นายทักษิณจะต้องรับโทษจำคุกรวมคดีที่สาม เป็นจำคุกรวม 8 ปี
การพยายามสร้างเรื่องว่า ทักษิณติดคุกเพราะคดีการเมือง ถูกกลั่นแกล้ง การลงโทษก็ไม่ควรจะเหมือนนักโทษคนอื่นๆ จึงเป็นความเท็จ บิดเบือน ไม่สำนึกในการกระทำผิดอย่างแท้จริง
ทักษิณติดคุก เพราะต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลนี้ มีมาก่อนรัฐประหารปี’49 ตัดสินคดีทุจริตของนักการเมืองมามากมาย
ทักษิณมีคดีหลายคดี บางคดีศาลยกฟ้อง (ทักษิณชนะ โดยไม่ต้องมาสู้คดีเอง) เช่น คดีเงินกู้กรุงไทย คดีทีพีไอ เป็นต้น
บางคดี ทักษิณหนีจนโทษจำคุกขาดอายุความไปแล้ว คือ คดีที่ดินรัชดา
3.2 คดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์
ช่วงปี 2546 - 2547 ทักษิณ ชินวัตร อาศัยความเป็นนายกรัฐมนตรีไทย สั่งการเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลทหารพม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของครอบครัวตัวเอง
ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2546 มีการประชุมสุดยอดผู้นำกัมพูชา ลาว พม่า และไทย ที่เมืองพุกาม สหภาพพม่า นายกฯ ทักษิณถึงขนาดอนุมัติกำหนดการให้ลูกชายร่วมเดินทางเป็นคณะทางการด้วย
พนักงานบริษัทชิน แซทเทลไลท์ฯ และบริษัทเอไอเอส กิจการของทักษิณ ก็ได้เข้าไปโชว์สินค้าบริเวณสถานที่จัดการประชุมด้วย ทั้งๆ ที่ การประชุมไม่มีความตกลงความร่วมมือด้านโทรคมนาคม
จากนั้น ทักษิณ ชินวัตร ให้เพิ่มเงินกู้สนับสนุนการพัฒนาโทรคมนาคมในชนบทของพม่า 3 โครงการ มูลค่า 24 ล้านดอลลาร์ โดยมีบริษัทชิน แซทเทลไลท์ เป็นผู้ดำเนินโครงการ
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะเพิ่งจะอนุมัติให้เงินกู้พม่าไป 3 พันล้านบาท
นายสุรเกียรติ์ยืนยันว่า “ไม่สมควรจะมีความร่วมมือด้านโทรคมนาคมเป็นการเฉพาะกับประเทศไทย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อครหาว่ามีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง”
นายทักษิณสั่งการว่า “เราให้หลักการขอไว้ 3,000 ล้านบาท เมื่อเขาขอมา 5,000 ล้านบาท ก็ให้พบกันครึ่งทาง ให้เขา 4,000 ล้านบาท และให้นายสุรเกียรติ์ แจ้งไปว่า นายกฯทักษิณ สั่งการว่าให้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท และจะให้การอุดหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย”
ในที่สุด เอ็กซิมแบงก์ต้องอนุมัติสินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ต่ำกว่าต้นทุนในขณะนั้น รวมทั้งขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งธนาคาร นั่นเป็นเหตุให้เอ็กซิมแบงก์ได้รับความเสียหายตามประมาณการโครงการทั้งสิ้น 670 ล้านบาท
กระทรวงการคลังต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ปี’49 และ ปี’50 ชดเชยความเสียหาย คิดถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2551 เป็นเงิน 189 ล้านบาท
แม้ในภายหลัง ทางพม่าจะได้ชำระหนี้จนครบถ้วนเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 แต่นั่นก็ภายหลังจากการกระทำผิดสำเร็จแล้ว และเป็นการชำระหนี้ในยุคหลัง
ในความเป็นจริง กระทรวงการคลังต้องเอาเงินภาษีคนไทยทั้งประเทศ ไปชดเชยให้เอ็กซิมแบงก์ เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณต้องการช่วยให้กิจการของตนประกอบธุรกิจในพม่าอย่างราบรื่น ได้รับประโยชน์จากการขายสินค้า
ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 จำคุก 3 ปี
3.3 คดีทุจริตหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว
ในยุครัฐบาลทักษิณ ดำเนินโครงการหวยบนดิน สั่งให้กองสลากเป็นเจ้ามือหวยเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว โดยไม่รอแก้ไขกฎหมายรองรับ ไม่ต้องการให้เงินจากการขายสลากถูกจัดสรรเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน
แถมกู้เงิน 20,000 ล้านบาท จาก “ธนาคารออมสิน” มาสำรองหน้าตัก เพราะสลากเลขท้าย2 ตัว 3 ตัว เป็นสลากกินรวบที่กองสลากอาจขาดทุนบางงวด เหมือนเจ้ามือหวยใต้ดิน ไม่มีการจำกัดวงเงินรางวัล เป็นเรื่องการพนันขันต่อ แล้วก็เคยขาดทุนจริงๆ 7 งวด
ยิ่งกว่านั้น รายได้จากการขายหวยบนดิน ก็ไม่ได้จัดสรรปันส่วนนำส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดินตามกฎหมายสลากกินแบ่ง แต่ใช้อุบายออกระเบียบใช้จ่ายเงินเอง
ที่คุยโม้โอ้อวด ว่านำเงินหวยบนดินมาเป็นทุนการศึกษา เป็นโครงการช่วยเหลือเด็กยากจนต่างๆ นานานั้น เป็นแค่เงินส่วนน้อย
ความจริงปรากฏว่า ระหว่างดำเนินโครงการหวยบนดิน ตั้งแต่งวด 1 ส.ค.2546 ถึงงวด 16 ก.ย. 2549 ได้เงินจากการขายหวยบนดินทั้งสิ้น 123,339 ล้านบาท หักเงินรางวัลจ่ายให้ผู้ถูกรางวัล 69,242 ล้านบาท
เท่ากับเหลือกำไรอยู่มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนที่อวดอ้างว่าเอาไปให้ทุนการศึกษาเด็ก ยังไงก็ไม่ถึงหมื่นล้านบาท แถมการใช้จ่ายเงินพวกนี้ไม่ผ่านการตรวจสอบของ สตง.
แสดงว่า ยังมีเงินที่กินมาจากชาวบ้าน ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท หายไปไหน? ยังไม่มีหลักฐานชี้แจงมาจนถึงวันนี้
ศาลฎีกาฯ ระบุชัดเจนว่า การจำหน่ายสลากดังกล่าว เป็นการจัดให้มีการเล่นพนันซึ่งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ การใช้จ่ายเงินรายได้ไม่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน และไม่ปรากฏว่าได้รับการตรวจรับรองจาก สตง.ในทุกกรณี มิได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบราชการในทุกขั้นตอน
ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร ผิดอาญา 157 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
3.4 คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อหุ้นชินคอร์ปฯ
นายทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกฯ ให้บุคคลอื่น (นอมินี)ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน
โดยที่บริษัท ชินคอร์ปฯ เป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐและมีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่หุ้นชินคอร์ปฯด้วย
ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยในสาระสำคัญว่า นายทักษิณยังคงถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
นายกฯทักษิณยังได้มอบนโยบายและสั่งการให้ตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตฯโดยมีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีและยกเว้นภาษีสรรพสามิต(ฉบับที่ 68) ลงวันที่ 28 ม.ค. 2546 ให้ลดพิกัดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากอัตราร้อยละ 50 เหลือร้อยละ 10 และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2546 เห็นชอบแนวทางให้คู่สัญญาภาคเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ หรือค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐได้
การดำเนินการดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท. ชื่อขณะนั้น) และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือบริษัท ดีพีซี ได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท. ชื่อขณะนั้น)
โดยทั้ง 2 บริษัท เป็นบริษัทในเครือของบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิตที่ชำระแล้ว โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องนำส่งให้ ทศท. และ กสท.
เป็นผลให้ ทศท. และ กสท. ได้รับความเสียหาย
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการเข้ามีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม และเป็นผลให้บริษัทที่จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต
ศาลพิพากษาว่า จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร)มีความผิด ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปีและฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี
สรุป.. นี่คือที่มาว่า ทำไมทักษิณจึงต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ซึ่งต่อมาได้ลดหย่อนโทษแล้ว เหลือเพียง 1 ปีด้วยซ้ำ
แต่ที่ผ่านมา ทักษิณกลับยังไม่ยอมติดคุกจริงๆ เลี่ยงไปอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
กระทั่งล่าสุด ถูกศาลฎีกาฯ สั่งให้กลับไปรับโทษจริงๆ เสียที
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี