เมื่อไม่กี่วันก่อน พลเอกประวิตรมีความเคลื่อนไหวที่สั่นสะเทือนวงการ ที่นอกจากประเด็นจดหมายน้อยที่พาดพิงถึงพลเอกประยุทธ์แล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็ออกมาประกาศความพร้อมในการนำทัพสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐด้วยตนเอง โดยแถลงนโยบายของพรรค ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ท่าทีการแถลง และลีลาการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และประธานในพิธี ที่ในตอนนี้ดูจะมีพลังกว่าตอนที่ยังมีพลเอกประยุทธ์ ทั้งที่ก็เป็นหัวหน้าพรรคมานานแล้ว
ความมั่นใจ?
ก่อนหน้าแถลงไม่กี่วัน พลเอกประวิตร และคณะ ได้มีการลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่จังหวัดลำปางและจังหวัดพะเยา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการตรวจราชการปกติในฐานะรองนายกรัฐมนตรี แต่ไฮไลท์ของงานกลับไม่ใช่การติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล แต่ประเด็นที่พูดถึงกันกลับเป็นภาพของร้อยเอกธรรมนัส สส.พะเยาสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย มาต้อนรับพลเอกประวิตร ถึงที่
เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าเป็นการออกมาต้อนรับของเจ้าถิ่น หรือ พี่ไปรับน้องถึงที่ การออกมาต้อนรับพลเอกประวิตรของร้อยเอกธรรมนัส ก็อาจจะไม่ได้มีอะไรผิดแปลกมากนัก? เพราะพลเอกประวิตรก็เป็นพี่ใหญ่ที่ร้อยเอกธรรมนัสนับถือมาโดยตลอด ยิ่งเมื่อผู้ใหญ่ที่ตนนับถือมาเยี่ยมเยียนจังหวัดที่เป็นดั่งบ้านของตนเองแล้ว ก็ไม่แปลกที่ร้อยเอกธรรมนัสจะมาต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยตนเอง แต่งานนี้จะบอกว่าไม่มีอะไรก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว?
เมื่อร้อยเอกธรรมนัสได้ประกาศท่ามกลางบรรยากาศงานว่า นำเอาว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาที่จังหวัดพะเยา อีกทั้งช่วงหนึ่งของงานร้อยเอกธรรมนัสและ สส. บางส่วนของพรรคเศรษฐกิจไทย มาทำความเคารพพลเอกประวิตร โดยมอบพวงมาลัย เพื่อแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงออกจากไมค์กลางงานเป็นวลีเด็ดว่า จากนี้ไปจะอยู่พรรคพลังประชารัฐ
ซึ่งหากการกลับมาของร้อยเอกธรรมนัสเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชารัฐไม่น้อย เพราะขนาดร้อยเอกธรรมนัสยังไม่ได้กลับเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอย่างสมบูรณ์ ก็ยังมีข่าวมาว่าร้อยเอกธรรมนัสอาจได้รับบทบาทให้เป็นพ่องานในการรับผิดชอบการเลือกตั้งใหญ่ในสังเวียนภาคเหนือ ซึ่งแม้จะยังไม่อาจทราบได้ว่ากระแสดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่ สส. ที่ร้อยเอกธรรมนัสอาจพ่วงกลับเข้ามาด้วยนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็น สส. ที่มีความแข็งแกร่งด้วยตนเองทั้งสิ้นซึ่งถือเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของพลเอกประวิตรว่าสามารถคุมพลังประชารัฐไปต่อได้
อันที่จริงในระยะหลัง จากการที่พลเอกประยุทธ์เริ่มตีตนออกจากพรรคพลังประชารัฐ ก็ทำให้ข่าวคราว ความร้อนแรงของพรรคพลังประชารัฐ ดูจะไม่ได้มีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดมากเป็นพิเศษ ยิ่งเมื่อพลเอกประยุทธ์เริ่มชัดเจนกับพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพาให้กระแสของสื่อมวลชน รวมถึงสายตาของประชาชนนั้น จับจ้องไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่า และแน่นอนรวมถึงความเชื่อมั่นของบรรดาสส.กลุ่มก๊วนต่างๆ ภายใต้พรรคพลังประชารัฐ
กระนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นกระแสข่าวเรื่องของการย้ายพรรคของลูกพรรคพลังประชารัฐ ไปพรรคต่างๆ อย่างเมื่อครั้งพรรคภูมิใจไทยประกาศตัวสส.ย้ายเข้าพรรคก็มีมาจากพรรคพลังประชารัฐถึง 14 คน และยังมีลาออกเพิ่มจากนั้นอีก ทั้งที่ระบุว่าย้ายไปไหนและยังไม่ระบุ จนหลายฝ่ายเริ่มแสดงความกังวลว่า พรรคพลังประชารัฐถึงคราวเข้าสู่ขาลงแล้วหรือไม่? หรือบารมีของพลเอกประวิตรเสื่อมมนต์ขลังกันแน่?
แม้กระทั่งล่าสุดข่าวคราวการโยกย้ายสำมะโนครัวของ สส. จากสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปยังสังกัดพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ยังมีข่าวไหลไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นทั้งพาเหรดการตบเท้าลาออกของ สส. จากสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนายวีระกร ที่ย้ายสังกัดไปยังพรรคภูมิใจไทย
อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่า สส. คนอื่นๆ ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก็อยู่ในช่วงพิจารณา และอาจมีแนวโน้มที่จะย้ายสังกัดออกจากพรรคพลังประชารัฐ โดยมีชื่อเชื่อมโยงกับพรรครวมไทยสร้างชาติ
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีกระแสข่าวว่าเมื่อวันที่มีการเปิดตัวพลเอกประยุทธ์กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้มี สส.ภาคใต้จากสังกัดพรรคพลังประชารัฐ มาร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจพลเอกประยุทธ์ จนเป็นที่คาดการณ์ว่าเมื่อถึงสมัยปิดการประชุมสภาฯ ไม่แน่ว่า สส. เหล่านั้นก็อาจเก็บกระเป๋าเข้าร่วมเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่?
และล่าสุดในงานแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย กลับพบรายนามของนางสาวกานต์กนิษฐ์ อดีต สส. กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ที่สละเรือลำเก่า หวนกลับคืนมายังพรรคเพื่อไทยและร่วมชักภาพ เปิดตัวในฐานะหนึ่งในว่าที่ผู้สมัคร สส. เขต 1 กรุงเทพมหานคร ในฐานะตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย
ฟังดูเหมือนจะไม่ดี แต่ความจริงอาจไม่ใช่?
เพราะแม้พรรคพลังประชารัฐจะสูญเสียขุนศึกไปบ้างบางส่วน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการขาดหายไปของ สส. เหล่านั้นก็อาจเป็นภาระงานให้ต้องหาว่าที่ผู้สมัครท่านอื่นมาเติมเต็ม แต่ว่ากันตามตรงก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของพลเอกประวิตร มากเท่าไหร่นัก เพราะเอาเข้าจริงส่วนที่ออกไปมักเป็นสส.รายบุคคลที่ไม่ใช่กลุ่มก๊วน และด้วยสถานะของพรรคพลังประชารัฐในปัจจุบันก็ยังเป็นหนึ่งในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอยู่ เชื่อว่าด้วยบารมีของลูกพี่ใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้าพรรค น่าจะสามารถเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปของพรรคได้ไม่ยากนัก
และอย่างที่บอก แม้จะเสียกำลังพลไปบ้างบางส่วน แต่กลุ่มก๊วนบ้านใหญ่ต่างๆ ก็ยังอยู่เกือบครบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามมิตร ที่ในตอนแรกมีกระแสข่าวถูกจับไปเชื่อมโยงว่า อาจย้ายต้นสังกัดเพื่อไปร่วมงานกับพลเอกประยุทธ์ ณ บ้านรวมไทยสร้างชาติ หรือบางกระแสข่าวบอกอาจกลับเพื่อไทย? แต่ล่าสุดกระแสข่าว ณ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ากลุ่มสามมิตรดูจะยังอยากสังกัดอยู่ใต้บารมีพลเอกประวิตรมากกว่าหรือไม่?
อาจเพราะ ผู้นำพรรคพลังประชารัฐ เป็นชื่อของพลเอกประวิตร ผู้มากบารมี ไม่ใช่เพียงแค่ในพรรค แต่หากว่ากันตามตรงคนในแวดวงส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เกรงอกเกรงใจพลเอกประวิตรทั้งสิ้น อีกทั้งหากพูดถึงโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ดูเหมือนพรรคพลังประชารัฐภายใต้พลเอกประวิตรก็ดูจะมีแนวโน้ม ในการร่วมรัฐบาลในสมัยหน้ามากกว่าหรือไม่? จากการที่ในระยะหลังสมการการจัดตั้งรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐดูจะสามารถร่วมได้กับฝ่ายต่างๆ ได้มากกว่า พรรคพลังประชารัฐรูปแบบเดิมซึ่งแตกต่างจากพรรครวมไทยสร้างชาติ?
ยิ่งมีข่าวว่าร้อยเอกธรรมนัสอาจโยกย้ายต้นสังกัด จากพรรคเศรษฐกิจไทย หวนคืนกลับมาสู่พรรคพลังประชารัฐด้วยแล้ว ยิ่งทำให้กระแสข่าวเรื่องราวของการจับมือข้ามฟาก ระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย ดูจะใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นไปอีกหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ต่อให้กระแสข่าวการจับมือข้ามรั้วเป็นเรื่องที่สื่อแค่เพียงปั่นข่าวเพียงเท่านั้น แต่การกลับเข้ามาสู่บ้านหลังเดิมของร้อยเอกธรรมนัส ก็คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรเสียระดับร้อยเอกธรรมนัสคงไม่เก็บกระเป๋าขนเสื้อผ้าและสัมภาระมาเพียงคนเดียวหรือไม่? เพราะบรรดามิตรสหายของร้อยเอกธรรมนัสส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คุ้นเคยกับพรรคพลังประชารัฐทั้งสิ้น อีกทั้งหลายๆ ท่าน ก็เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มีประสบการณ์บนเวทีการเมืองมาอย่างโชกโชน และมีฐานเสียงที่แน่นอน ซึ่งอาจรวมถึงกลุ่มก๊วนหรือบางคนที่ออกไปแล้วก่อนหน้านี้อาจเปลี่ยนใจย้อนกลับอีกครั้ง พรรคพลังประชารัฐดูแล้วจึงน่าจะได้รับอานิสงส์ผลบวก หากร้อยเอกธรรมนัสหวนคืนถิ่นหรือไม่?
เพราะส่วนตัวพลเอกประวิตรก็น่าจะทราบดีว่า หากต้องการที่จะไปต่อในรัฐบาลสมัยหน้าก็มีความจำเป็นขั้นสูง ที่จะต้องอาศัยกลุ่มก๊วนเพื่อรักษาไว้ ซึ่งสถานภาพพรรคใหญ่และมีคะแนนเสียงที่แน่นอนเอาไว้ให้ได้ เพราะกลุ่ม สส.เหล่านี้ ดูจะมีศักยภาพในการรักษาเก้าอี้ได้โดยไม่ต้องอาศัยกระแสการเมืองมากนัก
ซึ่งหนึ่งในพรรคการเมืองที่มี สส. สหกลุ่มก๊วนไว้ในสังกัดเยอะมากที่สุดคงหนีไม่พ้นพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่มี สส. หลายกลุ่มก้อนเข้ารวมกันไว้ในจำนวนที่ไม่น้อย จึงไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทย จะยังคงรักษาสถานภาพการเป็นพรรคใหญ่ไว้ได้มาโดยตลอด ยิ่งเมื่อแบรนด์ชินวัตร
เป็นแบรนด์ที่ติดลมบนอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยดูจะยิ่งเป็นพรรคการเมืองที่แข็งแกร่งไม่น้อย
แต่หาก พรรคพลังประชารัฐจะนำหลักของพรรคเพื่อไทยมาประยุกต์ใช้กับพรรคการเมืองของตนเอง ก็ต้องยอมรับว่าอาจต้องแบกรับความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เพราะการรวบรวมกลุ่ม สส. หลากหลายกลุ่มก๊วนเข้าด้วยกันแม้จะมีข้อดีแต่ข้อเสียก็มีมากไม่แพ้กันหรือไม่?
เอาเข้าจริงหากผู้มีความเก่งกาจ มีความสามารถมาอยู่ร่วมกัน และต่างฝ่ายต่างให้ความร่วมมือที่จะทำเป้าหมายต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงก็คงเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่อธิบายข้อเสียของการที่รวบรวม สส. หลากหลายกลุ่มก้อนเข้าด้วยกันได้ดีที่สุด ก็คือ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ และยิ่งในการรวบรวม สส. เข้าร่วมสังกัดนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มากกว่า 2 หรือไม่? ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในจุดนี้พรรคเพื่อไทยได้ผ่านจุดนี้มาแล้วและ สามารถจัดการปัญหาภายในได้อย่างดีเยี่ยม แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐแล้ว ที่ยังพรรษาน้อยก็อาจไม่ใช่งานง่าย
จากการที่กลุ่มสามมิตรดูมีท่าทีที่จะยังไม่ประสงค์ที่จะออกจากพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้ แต่กระแสข่าวเรื่องราวของร้อยเอกธรรมนัสที่จะหวนกลับพรรคพลังประชารัฐ ดูจะมีแนวโน้มและทิศทางที่เป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากยังจำกันได้ กลุ่มสามมิตรและกลุ่มของร้อยเอกธรรมนัส ก็มักจะถูกจับจ้องว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด
และยังมีประเด็นสำคัญเมื่อครั้ง ร้อยเอกธรรมนัสต้องออกจากตำแหน่งเลขาธิการ รวมถึงออกจากสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ กรณีการเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพรและสงขลาปี 2565 ก็มีกระแสข่าวว่ามาจากกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐเป็นคนกดดันให้เกิดสิ่งนี้?
ซึ่งในตอนนี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่ากลุ่มสามมิตรหรือกลุ่มอื่นๆ ในพลังประชารัฐ และกลุ่มร้อยเอกยังเจ็บแค้นเคืองโกรธกันอยู่ หรือไม่? ส่วนเรื่องร้อยเอกธรรมนัสจะกลับบ้านมาหรือไม่นั้นก็คงตอบไม่ได้? ก็ถือว่าเป็นความท้าทายของพลเอกประวิตรในฐานะผู้นำแบบเต็มตัวเด็ดขาดตอนนี้ ว่าจะสามารถเคลียร์ใจ และรักษาสมดุลระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในพรรคได้หรือไม่?
อีกทั้งในตอนนี้ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ก็คงไม่ใช่แค่ปัญหาระหว่างกลุ่มของร้อยเอกธรรมนัสและกลุ่มสามมิตรเพียงเท่านั้น เพราะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามี สส. จากพรรคพลังประชารัฐบางส่วน ออกปากมาว่ามีระดับแกนนำผู้ใกล้ชิดพลเอกประวิตรกุมอำนาจภายในพรรค ซึ่งก็ไม่แน่ว่า อาจสร้างความไม่พอใจและความอึดอัดใจให้สมาชิกพรรคคนต่างๆ อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวก็อาจได้รับการแก้ไข เมื่อโครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ซึ่งอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองนั้นคือ โควตารัฐมนตรี ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนักก็มีการลาออกจากการเป็น สส.ชลบุรี สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ของนายสุชาติ เจ้าแห่งกระทรวงแรงงานรวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีกรณีของนายชัยวุฒิ เจ้าแห่งกระทรวง
ดีอีเอส ที่ลาออกจากการเป็น สส. พรรคพลังประชารัฐ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน ซึ่งทั้งสองท่านก็ไม่วายถูกจับไปเชื่อมโยงว่าอาจย้ายสังกัดไปร่วมงานกับพลเอกประยุทธ์ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในเรื่องนี้ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ในการประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐนั้น จะมีการเอ่ยถึงเรื่องนี้ในแง่มุมใดบ้างหรือไม่?
อย่างไรเสียสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ อาจต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ก็คือ การรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพของพรรค หากพลเอกประวิตรไม่สามารถรักษาสมดุลในพรรค อาจสูญเสียเสถียรภาพในที่สุดและอาจส่งผลให้ สส. จำนวนไม่น้อยอาจตัดสินใจเก็บกระเป๋าย้ายออกก็เป็นได้หรือไม่? ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันต่อไปในการประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐว่า เมื่อพรรคมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบแบบเป็นรูปธรรมแล้ว ปัญหาต่างๆ นั้น จะได้รับการแก้ไขได้หรือไม่?
“ความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คล้ายเป็นน้ำป่า ยามเมื่อทะลักลงมา จะไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมบังคับได้ กระทั่งตัวเองก็ไม่อาจ ดังนั้น มักใหญ่ใฝ่สูง มิเพียงทำลายผู้อื่นเท่านั้น ยังทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน และมักจะทำลายตัวเองก่อนที่ได้ทำลายผู้อื่นเสมอมา แต่ทว่า หากมนุษย์เราไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงโดยสิ้นเชิง ชีวิตไยมิใช่ชืดชาไร้รสชาติยิ่ง นี่ไยมิใช่ เป็นโศกนาฏกรรมประการหนึ่งของมนุษย์เรา”
โกวเล้ง จาก เหยี่ยวเดือนเก้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี