พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่า วโส อิสริยัง โลเก ซึ่งแปลโดยความหมายว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก ผู้มีอำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก ดังนั้น ใครมีอำนาจก็ต้องรู้ตัวเองว่าเป็นผู้มีอำนาจและเป็นใหญ่ในโลก ที่การกระทำทั้งหลายย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์กติกาและย่อมอยู่ภายใต้หลักธรรมหรือหลักนิยมของโลก จึงจะสามารถทำให้อำนาจนั้นเป็นใหญ่ในโลกอย่างแท้จริงได้
เพราะอำนาจนั้นด้านหนึ่งแม้มีพลังอำนาจที่ทำให้เป็นใหญ่ในโลกได้ก็จริงอยู่ แต่ก็มีฤทธานุภาพที่จะทำลายผู้ใช้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลกไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นอำนาจทำให้คนเป็นใหญ่ในโลกได้ อำนาจก็ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในโลกวิบัติ วินาศ ฉิบหาย กระทั่งล้มตายได้
เหตุนี้ปราชญ์แต่โบราณจึงถือว่าอำนาจนั้นเหมือนไฟกายสิทธิ์ที่แรงฤทธิ์ดุจไฟประลัยกัลป์ มีอำนาจทำลายล้างที่ไม่มีไฟใดเสมอเหมือน ดังนั้น ผู้ใดถืออำนาจผู้นั้นจะต้องมีธรรมที่จะทำให้อำนาจนั้นฉ่ำเย็นไม่เป็นอันตรายต่อผู้มีอำนาจ
ธรรมที่ว่านี้ก็คือธรรมแห่งการใช้อำนาจและการประพฤติปฏิบัติในการใช้อำนาจ ซึ่งต้องประกอบด้วยองค์คุณสองประการ คือ ต้องเป็นไปโดยธรรม และต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระธรรมราชา ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นธรรมอันจำเป็นสำหรับพระมหากษัตริย์ ทรงทราบและเข้าพระทัยถึงเรื่องอำนาจได้อย่างถ่องแท้ตามพระพุทธวจนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอน ดังนั้น พระองค์จึงเคารพธรรม ทรงปฏิบัติธรรม ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ และทรงครองพระองค์โดยธรรม
เหตุนี้เมื่อครั้งแรกที่เสด็จเสวยสิริราชสมบัติ จึงทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อพระรัตนตรัย ต่อเหล่าเทพยดาผู้รักษาแผ่นดิน และพระมหาเศวตฉัตรว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งหลายตลอดระยะเวลาอันยาวนานแห่งรัชกาลเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้พระราชอาณาจักรนี้มั่นคงดำรงคงอยู่สถาพร สามารถฝ่าฟันอันตรายหลายครั้งหลายหนได้โดยสวัสดี โดยประชาชาติไทยทั้งผองร่วมจิตรวมใจเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ธงมหาราชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้ดำรงคงอยู่และสืบทอดต่อไปถึงลูกหลานเหลนโหลนในอนาคต
มาถึงรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อพระรัตนตรัย ต่อปวงเทพยดาผู้รักษาแผ่นดินและพระนพปฎลเศวตฉัตร ตลอดจนอดีตสมเด็จพระมหากษัตริย์ทั้งปวงว่าพระองค์จะทรงสืบทอดต่อยอด พระบรมราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนกและจะทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของชาวสยาม ตามพระบรมราชปณิธานในสมเด็จพระบรมราชชนกนั้น
เมื่อครั้งที่มีการตรารัฐธรรมนูญ 2560 จึงปรากฏข้อความในพระราชปรารภของสมเด็จพระมหากษัตริย์ว่า ต้นเหตุแห่งวิกฤตของบ้านเมืองอยู่ที่การทุจริต การฉ้อฉลการบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎร ซึ่งได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญให้ได้ทราบความแห่งพระราชปรารภด้วยพระปัญญาธรรมแก่พสกนิกรทั่วประเทศ
ดังนั้นประชาชนชาวไทยจึงตั้งความหวังว่า ด้วยพระปัญญาทัศนะ ด้วยพระปรีชาสามารถ และด้วยพระวีรภาพอันกล้าหาญเด็ดขาดถึงที่สุดในการทำนุบำรุงรักษาแผ่นดิน เพื่อประโยชน์สุขของมหาชน จะทำให้ประเทศไทยของเราก้าวเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์โดยราบรื่นเรียบร้อย
แต่ทว่าผู้ที่เกี่ยวข้องหรือได้กระทำกรรมที่ปรากฏในบทพระราชปรารภว่า “ทุจริต ฉ้อฉล บิดเบือนการใช้อำนาจ และไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎร” มิได้สำนึกน้อมนำบทพระราชปรารภนี้มาใส่เกล้า และประพฤติปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วงตามบทพระราชปรารภ ตามที่ได้ปฏิญาณตนในการรับตำแหน่งในบ้านเมืองแต่ประการใด
เพราะถ้ามีการน้อมนำใส่เกล้าไปประพฤติปฏิบัติ การทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพา
ต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญ2560 ใช้บังคับก็จะบรรเทาเบาบางลงไม่มากก็น้อย
ปรากฏว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป การกระทำและผลของการกระทำตามที่ปรากฏในบทพระราชปรารภนั้นไม่เพียงแต่ไม่บรรเทาเบาบางลงแล้ว ยังเติบโตขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง
การทุจริตได้ขยายตัวลุกลามไปทั่วทั้งประเทศ ลงรากลึกไปถึงตำบล หมู่บ้าน ในชนบทอันห่างไกล ที่แม้ยากจนขาดแคลนและล้าหลังอยู่แล้ว มีความเดือดร้อนอยู่แล้ว ถูกซ้ำเติมให้หนักหน่วงรุนแรงมากขึ้น ความจริงที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การตัดสินคดีจำคุกผู้ทุจริตของศาลสถิตยุติธรรมก็เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นประวัติการณ์ในขณะที่ประชาชนก็กล่าวขวัญกันว่าการทุจริตลุกลามถึงขั้นเป็น “โกงทั้งแผ่นดิน กินทุกโครงการ”
การฉ้อฉลก็ขยายตัวและลุกลามไปทั่ว และมีขนาดที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้น การสมรู้กันฟ้องคดีเพื่อให้รัฐเสียหายและใช้อำนาจศาลมาบังคับให้หน่วยงานของรัฐต้องจ่ายค่าเสียหายก็ดี หรือการนำวงโคจรดาวเทียม 6 วงโคจรออกไปประมูล ให้เอกชนโดยตั้งราคากลางไว้แค่ 600 ล้านบาท ในขณะที่วงโคจรแต่ละวงนั้นสามารถรองรับดาวเทียมได้ถึง 6 ดวง ดาวเทียมแต่ละดวงที่ไปโคจรอยู่ในแต่ละวงโคจรจะทำให้รัฐมีโอกาสได้รับค่าตอบแทนอย่างน้อย 240,000 ล้านบาท ยังทำกันได้ถึงปานนี้ ไม่มีการฉ้อฉลใดจะยิ่งใหญ่มหาศาลที่สุดในโลกเหมือนกับเรื่องนี้อีกแล้ว
การบิดเบือนการใช้อำนาจได้ลุกลามขยายตัวอย่างกว้างขวางโดยไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองและความรับผิด เพราะอวดดื้อถือตัวว่ามีอำนาจ ทำผิด ทำชั่วได้ตามใจชอบ และใช้กลไกหลายอย่างเพื่อเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนการใช้อำนาจ จนขื่อแปบ้านเมืองและระบบยุติธรรมของบ้านเมืองฉิบหายวายวอดสิ้น ไม่มีครั้งใดที่ประชาชนกล่าวขวัญกันว่าคุกมีไว้สำหรับขังหมาและคนจน ซึ่งเป็นสภาพที่อเนจอนาถและชอกช้ำระกำใจแก่ผู้คนทั้งแผ่นดิน
สิ่งที่เรียกว่าอภินิหารทางกฎหมายหรือไสยศาสตร์ทางกฎหมายเป็นอาชญากรรมต่อแผ่นดินที่ร้ายแรงที่สุด ที่อาชญากรยังเชิดหน้าชูตาสร้างกรรมทำเข็ญแก่บ้านเมืองและราษฎรโดยไม่ยำเกรงต่อกฎแห่งกรรมที่กำลังไล่จิกไล่จี้มาถึงตัวแล้วในวันนี้
การไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรเป็นหลักและเป้าหมายการปกครองของทุกระบอบการปกครอง เพื่อให้ประชาชนร่มเย็นเป็นสุข แม้กระทั่งบางยุคสมัยที่ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์เป็นคนชั่วช้าสามานย์อำมหิตก็ยังมีความคิดทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข และช่วยเหลือแก้ไขความเดือดร้อนของราษฎร
แต่สถานการณ์ในวันนี้อาณาประชาราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า จะร้องโหวกเหวกโวยวายว่าค่าน้ำมันแพง ค่าไฟแพง ทุนผูกขาดเอาเปรียบข่มเหงราษฎรทั้งปวง ก็หามีใครได้ยินหรือใส่ใจแก้ไขไม่ ประชาชนหมดที่พึ่ง ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญเป็นกลียุค
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและประชาชนที่ทนต่อความกดดันไม่ได้จึงแสดงออกด้วยการสร้างกรรมทำเข็ญ ฆ่าตัวตายบ้าง สังหารผู้บังคับบัญชาบ้าง สังหารผู้คนในครอบครัวบ้าง กระทั่งประหัตประหารคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เพื่อประชดความไม่เป็นธรรมในบ้านเมืองก็มีให้เห็นเป็นระยะ ล่าสุด ข้าราชการหลายหน่วยงานที่ถูกผู้บังคับบัญชาข่มเหงรีดไถได้รับความเดือดร้อนทนไม่ไหว ก็ลุกฮือขึ้นร้องเรียนและถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
ในปัจจุบันนี้นอกจากการทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรตามบทพระราชปรารภนั้นแล้ว ก็ปรากฏกรณีการฉ้อฉลบิดเบือนการใช้อำนาจ โดยนักการเมืองผู้มีอำนาจขาดความเคารพต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง แอบแฝงใช้อำนาจรัฐ ใช้งบประมาณแผ่นดิน ใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นกลไกเครื่องมือหาเสียงให้กับพรรคการเมืองและนักการเมือง
กระทำกันอย่างโจ่งแจ้งเย้ยฟ้าท้าดิน ไม่ยำเกรงฟ้าไม่ยำเกรงดิน เพราะถือว่าเป็นผู้มีอำนาจ แค่อ้างอย่างเดียวว่าตรวจราชการ ทั้งที่หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
สภาพเช่นนี้ด้านหนึ่งเป็นสภาพที่น่ากลัวน่าอเนจอนาถ แต่อีกด้านหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ นั่นก็คือวาระสุดท้ายของอำนาจและการใช้อำนาจที่ไม่ประกอบด้วยธรรม ซึ่งกำลังทำให้อานุภาพแห่งไฟประลัยกัลป์เผาผลาญผู้ถืออำนาจจนเป็นจุณไปในที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี