“การพัฒนาของโลกทั้งปัจจุบันและอนาคตในยุคดิจิทัล พบว่ามูลค่าของเศรษฐกิจและบริษัทชั้นนำของโลกตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับดิจิทัล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยเป็นกลไกหนึ่งของโลกที่จะต้องให้ความสำคัญกับการก้าวสู่ประเทศดิจิทัล ในฐานะที่มหาวิทยาลัยเป็นคลังความรู้และคลังสมองของประเทศ จึงต้องเตรียมความพร้อมสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัลเพื่อเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2580”
คำกล่าวของ ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จากงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “การสำรวจความพร้อมการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล” เน้นย้ำให้มหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการสร้างคนไทยให้เป็น “มนุษย์ดิจิทัล” เพื่อเป็นอนาคตของประเทศที่สามารถใช้และพัฒนาดิจิทัลในอนาคต อีกทั้งเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความพร้อมล่วงหน้า 10 ปีเพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วโดยใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือ
ขณะที่ รศ.ดร.ดวงพร ภู่ผะกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการเป็นมหาวิทยาลัยตัวอย่างเพื่อการพัฒนาพื้นที่ซึ่งจะต้องพัฒนาก้าวกระโดด มีธงปักทิศทางที่ชัดเจน มีจุดคานงัดด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงมองถึงการใช้อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมาเพิ่มศักยภาพของมหาวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทราหนึ่งในจังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยก่อนหน้านี้ ทางจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้มอบหมายให้ มรภ.ราชนครินทร์ ดำเนินการเรื่องสมาร์ทดิจิทัล และร่วมผนึกกำลังกับสถานประกอบการ ทั้งพัฒนาหลักสูตร ทำแอปพลิเคชั่นร่วมกับธนาคารกรุงไทย ทำแพลตฟอร์ม “ดิจิทัลฉะเชิงเทรา” เพื่อขับเคลื่อนการสร้างระบบนิเวศท้องถิ่นที่เข้มแข็งสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
โดยผนวกข้อมูลของมหาวิทยาลัยกับจังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“งานวิจัยต้องไม่ขึ้นหิ้ง แต่มีผู้ใช้ประโยชน์ และนำไปสู่โครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย โดยผนึกกำลังกับภาคีต่างๆ เพื่อฉายภาพและเพิ่มศักยภาพให้กับกำลังคนใน EEC เราต้องไม่เดินคนเดียวแต่ต้องจับมือกับหลายภาคส่วน เพื่อสร้างภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยแห่งอนาคต พัฒนาทั้งองคาพยพ และสร้างผลงานของนักศึกษาให้เห็นการเติบโตของมหาวิทยาลัยขณะเดียวกันก็ดูเม็ดเงินหลังบ้าน พร้อมกับพัฒนาบุคลากร โดยกำหนดเป้าหมายเชิงรุกที่จะเร่งหารายได้จากเงินนอกงบประมาณและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น” รศ.ดร.ดวงพร กล่าว
ด้าน รศ.ดร.รัฐสิทธิ์ สุขะหุต รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันแผนพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระยะที่ 13 (ปี 2566-2570)มุ่งสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ นวัตกรรมเศรษฐกิจฐานชีวภาพ นวัตกรรมการแพทย์ สุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ ล้านนาสร้างสรรค์ การจัดการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม โดยนำดิจิทัลมาบริหารจัดการองค์กรสู่ความเป็นเลิศ 3 ด้าน คือ 1.ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นเพื่อปรับสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล 2.การปรับวัฒนธรรมองค์กรและพัฒนาคนให้มีทักษะด้านดิจิทัลเพื่อปรับปรุงองค์กร
และ 3.การบริหารจัดการด้วยข้อมูล จึงต้องใช้ดิจิทัลในการสื่อสารที่รวดเร็ว ลดขั้นตอนและปรับเปลี่ยนกฎระเบียบ มองลูกค้าและสินค้ามากขึ้น เพื่อนำไปสู่การบริการโดยใช้นวัตกรรมบริการ รวมทั้งการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ ทำให้เห็นโมเดลสถาปัตยกรรมองค์กรที่จะทำให้เห็นภาพกว้างขึ้นทั้งเชิงธุรกิจและยุทธศาสตร์องค์กร การใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนองค์กร และด้านดิจิทัล สู่การเป็นมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ
“DMM (Digital Maturity Model : แบบจำลองความพร้อมทางดิจิทัล) เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจและนำมาใช้ประเมินสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล รวมทั้งการมีส่วนร่วมจากบุคลากรหลายภาคส่วน ซึ่ง มช. มีแผนพัฒนามุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่รับผิดชอบต่อสังคมและสร้างการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศที่ยั่งยืน โดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นกลไกขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับบริหารจนถึงเจ้าหน้าที่ส่วนงาน และมีดิจิทัลเข้าไปแทรกในยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน แต่อาจไม่ได้มองธุรกิจและการขับเคลื่อนในเชิงธุรกิจมากนัก จึงสะท้อนกลับมามองตนเองเรื่องยุทธศาสตร์ของการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเตรียมความพร้อมด้านดิจิทัลให้เข้มแข็ง” รองอธิการบดี มช. กล่าว
ส่วนบทเรียนในการใช้ DMM เพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ รศ.ดร.สินชัย กมลภิวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ พบกลุ่มงานต่างๆ เริ่มคิดนอกกรอบถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ไม่ทำงานคนเดียวซึ่งช่วยยกระดับทัศนคติและความเข้าใจที่ตอบโจทย์ความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัย
และขยายผลสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล ก้าวข้ามไปมองระบบนิเวศมากกว่าการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น มีการจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ วิเคราะห์ข้อมูลภาพรวมในทุกมิติ และยกระดับนักเรียนนักศึกษาผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลให้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัลจะต้องยกระดับและสนับสนุนมิติต่างๆ โดยมีดิจิทัลเป็นฐาน และทำงานเชิงรุก
“DMM เป็นเครื่องมือที่สอดคล้องและตอบโจทย์นโยบายของมหาวิทยาลัย เป็นพลังในการขับเคลื่อน และมีความพร้อมเสมอที่จะปรับเปลี่ยนตัวให้อยู่ในโลกอนาคต มิฉะนั้นการศึกษาจะบิดเบี้ยวหรือผิดเพี้ยนดังนั้นการเป็นมหาวิทยาลัยจะต้องพัฒนากำลังคนที่เป็นหลักสำคัญและช่วยกันพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน” รศ.ดร.สินชัย กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี