“ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” คืออาชีพที่รับผิดชอบในการควบคุมกฎหมายและกติกาบ้านเมืองปราบปรามผู้กระทำผิด ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับคนในประเทศ แต่กระแสสังคมในตอนนี้กลับพากันตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้พิทักษ์” ไปเป็น “ผู้ร้าย” เรียกรับเงินรีดไถนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวันและเพื่อนๆ ชาวสิงคโปร์ที่พกบุหรี่ไฟฟ้า
การเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เท่ากับเป็นผู้ชี้ผิดชี้ถูกกับคนอื่นได้ แต่ถ้ากฎหมายมีช่องว่าง จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสบช่องในการทุจริตต่อหน้าที่มากขึ้น
เช่นเดียวกับกรณีบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสินค้าผิดกฎหมายตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่กำหนดให้เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในประเทศ และคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุห้ามขาย ห้ามให้บริการบารากุ บารากุไฟฟ้า รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกฎหมายที่ชัดเจนว่า การขาย การนำเข้า และการให้บริการถือเป็นความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควรต้องไปเข้มงวดจับกุมกลุ่มผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ขายออนไลน์ เปิดร้านริมถนนหรือตามตลาดนัดให้ต้องรับโทษตามที่ระบุไว้
อย่างไรก็ตาม กฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวไม่ได้มีการระบุถึง “ผู้ใช้ หรือผู้ครอบครอง” ซึ่งจนถึงปัจจุบัน หน่วยงานเจ้าของกฎหมายทั้งกระทรวงพาณิชย์ และ สคบ. รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกัน และไม่สามารถให้ความชัดเจนได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับปรับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้หรือไม่
“ช่องโหว่” ของกฎหมายนี้จึงกลายเป็นการยื่นดาบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้บังคับใช้กฎหมายนำมาทำร้ายประชาชน ด้วยการข่มขู่ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่ไม่รู้กฎหมายโดยเฉพาะชาวต่างชาติ จนนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่น เรียกรับเงินใต้โต๊ะแลกกับการที่ไม่ต้องมีคดีความติดตัว
การจะกู้วิกฤตศรัทธาวงการตำรวจในครั้งนี้จึงไม่เพียงแค่ตัดเนื้อร้าย ลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดจริงจังเพื่อทำองค์กรให้สะอาดแต่เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องเร่งหาความชัดเจนให้กับกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต
มีข้อมูลว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้อันตรายเท่าบุหรี่มวน จึงทำให้หลายๆ ประเทศอนุญาตให้ใช้และจำหน่ายได้ มีการเก็บภาษีอย่างถูกกฎหมาย และกำหนดอายุขั้นต่ำเพื่อป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข้อมูลว่าบุหรี่ไฟฟ้าแม้จะมีสารพิษที่เป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน แต่ก็เป็นสินค้าที่เด็กและเยาวชนไม่ควรใช้ การจะควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าจึงต้องมีความเหมาะสมเพื่อช่วยป้องกันการซื้อหรือการเข้าถึงของเยาวชนได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แบบเดียวกับกฎหมายในปัจจุบันที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคมและไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง เพราะวางขายกันเกลื่อนกลาดและหาได้ง่ายทางช่องทางออนไลน์โดยปกป้องเด็กและเยาวชนไม่ได้
ใกล้เวลายุบสภาและการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว หากรัฐบาลนี้จะกลับมาทบทวนกฎหมายที่มีอยู่ว่าเหมาะสมและบรรลุผลสัมฤทธิ์หรือไม่ และทำให้กฎหมายเกิดความชัดเจน สอดคล้องความจริงและเป็นบรรทัดฐานเดียวกันก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ช่วยขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นและช่วยกู้ภาพลักษณ์ตำรวจไทย การท่องเที่ยวของไทย และรัฐบาลได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี