l ก่อนจะไปเล่าเรื่องเพื่อนคนที่สอง มีอาการของหัวใจที่รุนแรง
เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง “คนเรา” จะศึกษาเรียนรู้ การเป็นหมอของตนเองได้อย่างไร?
อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า
หมอ ก็เป็นมนุษย์ขี้เหม็นคนหนึ่ง เช่นเดียวกับเรา
ก่อนหน้าจะเป็นหมอ
- เขา ไม่รู้ เรื่องตัวเอง เรื่องสุขภาพ เหมือนกับคนทั่วไป
- เขาต้องศึกษาเรียนวิชาแพทย์
- เรียนและฝึกปฏิบัติ intern ก่อนจะมาทำหน้าที่เป็นหมอ
- อาจต่อ สาขาแพทย์เฉพาะ เพื่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- และจะมีประสบการณ์มากขึ้น หลังจากทำหน้าที่หมอ รักษา ดูแลคนไข้ฯ
สรุป คือ หมอต้องเรียนแพทย์ มีการปฏิบัติจึงจะเกิดประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญ
l แต่สำหรับเราที่เป็นมนุษย์ ต้องผ่านการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ ฯลฯ จึงต้องไปหาหมอรักษา แต่อีกด้านหนึ่ง หากเราสนใจชีวิตของเราจริง เราจะได้เรียนรู้ เรื่องสุขภาพของเรา จากการเป็นคนไข้ ที่ใส่ใจ ในสุขภาพของตนเอง
เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ว่า : เราเป็นอะไร และหมอรักษาเราอย่างไร และเริ่มต้น ศึกษา ตัวเรา หมอ ยา และการรักษา เรียนรู้ เรื่องมนุษย์ อวัยวะและระบบต่างๆของร่างกายการรักษา ดูแลสุขภาพของตนเอง และเรียนต่อไปเรื่อยๆ
จนเป็นหมอคนที่สองฯ
l แต่คนทั่วไปมีน้อยมากที่จะเป็นเช่นนี้ได้
เพราะ
๑.สังคมเรา นิยมพึ่งพาคนอื่น : หมอ หมอสมุนไพร พระฯ ไม่สอนให้คนคิด เรียนรู้ พึ่งตนเองฯ
๒.คนไม่พึ่งตนเอง ไม่อาศัยลำแข้ง เพื่อยืนและอยู่ได้ด้วยตนเอง เป็นหลัก
๓.คนทั่วไปอาจจะคิดว่า “เราไม่มีความรู้ ไม่ได้เรียนหมอมา”
๔.ไม่รู้ความจริงของความเป็นมนุษย์ ที่ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาตนเองได้” คือ ไม่ได้เข้าถึง พุทธศาสนา ที่สอนแก่นธรรมเรื่องมนุษย์ เรื่องราวของชีวิต
๕.มนุษย์ สามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ แทบทุกเรื่อง หากใส่ใจ เอาจริง
l กลับมาเรื่องเพื่อนคนที่สอง มีอาการของหัวใจที่รุนแรง : และเขาเลือกหมอ และการรักษาได้ถูกได้อย่างไร
ก่อนอื่น ขอกล่าวถึงคุณสมบัติ และนิสัยอันเป็นปกติของเพื่อนคนนี้ก่อน เขาเป็นคนมีความรู้ มีฐานะพอควร สมัยเรียน เขาเรียนสายวิทย์ เป็นนักกิจกรรม สนใจในเรื่อง การแสวงหาความรู้ เขาเป็นคนมีอุดมคติ มีความมุ่งมั่น ในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบ้านเมืองและสังคมให้ดี ใช้ชีวิตในวัยหนุ่มสาว อย่างเต็มที่ และต่อมาในยุคทำงานเป็นผู้ใหญ่ ยังคงมีกิจกรรมและบทบาทที่สำคัญในสังคม จนกระทั่ง ในวัย ๗๐ เขาเริ่มลดบทบาท เพราะ มีปัญหาสุขภาพ
วิธีคิดของเขา
๑.ยึดหลักคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ : มีที่มา ที่ไป พิสูจน์ได้ ไม่เชื่อในเรื่องที่เป็นไสยศาสตร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ เทวดาฯ ไม่เชื่อ ไม่สนใจ ในเรื่องข่าวลือ ข่าว Fake News ตามสื่อ ห้องไลน์ต่างๆ ข่าวการเมือง ข่าวสถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้นำ นักการเมือง นักวิชาการ สื่อฯนำเสนอ และส่งต่อกันเขาจะไม่ให้ความสำคัญ และจะผ่านไป เขาจะยอมรับ“ข่าวสาระ” มีที่มาที่ไป มีน้ำหนัก มีเหตุมีผล
๒.มีกระบวนการคิด แบบ Engineering Thought Input > Process > Output
เป็นหลักคิดที่มีเหตุมีผล พิสูจน์และตรวจสอบได้มิใช่จำกัดโดย วิศวกรฯ เพราะ วิศวกรจำนวนไม่น้อยไม่ได้นำมาใช้เป็นหลักคิดที่ดี ถูกต้อง มององค์รวม และเป็นกระบวนการ
(๑) เรื่องที่นำมาคิด จะเริ่มต้น ด้วย Input จะต้องเป็นจริง รวมทั้งกระบวนการ คือ Process ต้องถูกต้อง แล้วเราจะได้ Output ( ผลลัพธ์ ) ที่ถูกต้อง นำไปใช้ได้ผล
(๒) เพี่อให้ได้ผลดีขึ้น และใช้ได้จริง ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือ Output แรก จะถูกนำไปคิดใหม่ เป็น Input ใหม่ แล้วดำเนินการต่อๆไป
(๓) สมัยก่อน ๔๐-๕๐ ปี ข้อมูลข่าวสาร มักจะใช้ได้นานหลายปี แต่มาในยุคถัดมา ไม่ควรเกิน ๕ ปีมาในยุคนี้ อาจจะต้องใช้ ปีต่อปี เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
๓.เขาเป็นคนชอบหนังสือ เป็นชีวิตจิตใจ มิใช่หนอนหนังสือธรรมดา แต่จะเขียนหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการ แนวคิด และวิธีนำไปใช้ โดยเขียนสามปี ต่อ ๑ เล่มแต่ปัจจุบันหยุดเขียนไปแล้ว : ยังลุ้นให้เขาเขียน เล่มสุดท้ายออกมา ฝากไว้ในแผ่นดิน
๔.การหาความรู้ของเขามีแนวทางที่น่าสนใจ
(๑) ด้วยตนเอง จากการอ่านหนังสือ
(๒) การนำไปปฏิบัติ
(๓) ติดตามข่าวสาระข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ (สื่อไทย อ่านน้อยมาก, ตำราหรือสื่อต่างประเทศจะเลือกสรรฯ)
(๔) มักจะไปขอพบและคำแนะนำจากผู้รู้ที่รู้จริงในเรื่องที่สำคัญ
(๕) แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนมิตร และคนที่รู้จริงฯ
l มาถึงเรื่องที่เป็นโจทย์ในวันนี้ คือ สุขภาพที่มีอาการของหัวใจที่รุนแรง : และเขาเลือกหมอ และการรักษาได้ถูก ได้อย่างไร?
เขามีข้ออ่อน ในการดูแลสุขภาพ และการออกกำลังกาย และเป็นคนชอบดื่มเป็นประจำ แต่เมื่อถึงคราวมีปัญหาสุขภาพใหญ่ คือ “อาการหัวใจที่รุนแรง”
๑.เขาไปหาหมอที่เก่ง มีประสบการณ์สูง ในเรื่องหัวใจ เมื่อไปหาหมอ เขาคงโชคดีที่หมอให้ความสนใจและเอาใจใส่ดูแลอย่างเต็มที่
๒.เขาไม่ยอมปล่อยให้หมอรักษาเขา ในฐานะคนไข้อย่างเดียว แต่เขาเริ่มศึกษาทำความเข้าใจ เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขา
(๑) ชีวิตความเป็นมาของโรคและอาการนี้ ไล่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ จนถึงตัวเอง
(๒) โดยอ่านจากตำราที่เกี่ยวกับโรคนี้ ในสังคมไทย และเขาจะขออนุญาตหมอ ซักถามอาการ ยา การรักษาผลการรักษาในขั้นต้น ทำให้เขารู้จักตัวเอง อาการที่เป็น ผลฯ และรู้จัก “หมอคนแรก” ที่รักษาดูแลเขา
(๓) เขาไปหาหมออีกคนหนึ่ง ที่มีความรู้และประสบการณ์ไม่แพ้หมอคนแรก ซึ่งเขามีความรู้สึก และความเห็นว่า“การวินิจฉัย ของหมอ ๒” แม้ว่ามีความคล้ายกันกับหมอ ๑ แต่มีอะไรบางส่วน ที่ตรงและสอดคล้องกับสุขภาพของเขา
๓.และเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไปเจอเขาดูเขา แข็งแรง และมีอาการดีขึ้นมาก จากการรักษากับ หมอ ๒
l ผมแสดงความยินดีกับเขา ที่เขามีสุขภาพดีขึ้นและหลังจากนั้นมา เขาได้ให้ความสำคัญกับ การออกกำลังกายการดูและสุขภาพและที่สำคัญ เขา ศึกษาและฝึก “ใจ” ของเขา เขาเป็นคนเก่ง มีความรู้และความสามารถ พร้อมประสบการณ์สูง เมื่อเขาตั้งใจจะเอาจริง ในเรื่องใด เขาจะเรียนรู้ และทำจริง เขา ทำได้แล้ว : เขาไม่เครียดอีกต่อไป แม้ทำงานหนัก ในเรื่องที่ต้องทำ “การทำชีวิตให้มีสุข ได้ในทุกโอกาสและสถานที่”
@ อ้อ เขาฝากบางเรื่อง มาถึงเพื่อนพ้องน้องพี่
เรื่องที่มีลักษณะเฉพาะเหมาะสม และสอดคล้อง ต่อสังคมไทย
๑.เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย
๒.เรื่องประชาธิปไตย เป็นนามธรรม ยังไม่เคยเป็นจริง
๓.สถาบันหลักของสังคมไทย แม้ไม่สมบูรณ์แต่ก็ทำให้ประเทศไทยมีวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี