การล้มของธนาคาร Silicon Valley,Silvergate และ Signature ของสหรัฐฯ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วจะเกิดการล้มของธนาคารเป็นลูกโซ่ตามมาหรือไม่
คำตอบเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไป แต่ทางการอเมริกาพยายามจะระงับเหตุด้วยการเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วยการประกันการคุ้มครองเงินฝากให้ลูกค้าของธนาคาร เพื่อป้องกันการลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤตแบงก์ล้มตามมา
กระทรวงการคลัง ธนาคารกลางของสหรัฐฯ และบรรษัทประกันเงินฝากของสหรัฐฯ ร่วมมือกันสกัดกั้นโดยพลันเพื่อป้องกันปัญหาบานปลาย พร้อมกับให้คำสัญญาว่าลูกค้าของธนาคาร Silicon Valley จะสามารถได้รับเงินฝากคืนครบทั้งหมด การตัดสินใจดังกล่าวช่วยลดความตื่นตระหนกของเจ้าของเงินฝากได้เป็นอย่างดี และช่วยลดปัญหาการแห่ไปถอนเงินจนนำไปสู่ bank run
ทั้งนี้ หากทางการสหรัฐฯ ไม่เข้าไปแทรกแซงแก้ปัญหาโดยฉับพลัน อาจจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนยุค 1930 ที่ชาวอเมริกันแห่กันไปถอนเงินจากธนาคาร จนนำไปสู่ความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหนัก
มาตรการเข้าถึงเงินฝากที่ทางการอเมริกันได้กระทำในครั้งนี้ ช่วยลดความแตกตื่นของประชาชน และยังช่วยสร้างความมั่นใจให้เจ้าของเงินฝากเกิดความเชื่อมั่นว่าจะไม่สูญเงินไปอย่างแน่นอน ซึ่งมาตรการของรัฐในครั้งนี้ ก็ทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน แต่รัฐบาลอเมริกันก็ตัดสินใจ
เข้าพยุงสถานการณ์เพื่อไม่ให้เลวร้ายมากไปจนเกินจะเยียวยา
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจช่วยเหลือโดยทางการอเมริกันในครั้งนี้ ไม่ใช่การอุ้มธนาคาร เพราะไม่ได้อุ้มธนาคาร แต่เป็นการให้ความ
ช่วยเหลือผู้ฝากเงิน โดยมีวงเงินประกันอยู่ที่ 2 แสน 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อเกิดปัญหากับธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ ก็ทำให้มีคำถามว่า แล้วจะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างไปถึงธนาคารต่างๆ ในยุโรปด้วย
หรือไม่ คำถามนี้ก็ยังเร็วเกินไปที่จะตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ หุ้นของธนาคารต่างๆ ในยุโรปร่วงระนาว หลังมีข่าวธนาคารสามแห่งของสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากธนาคารทั้งสามของสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลงก็คือความไม่มั่นใจในกลุ่มนักลงทุน ที่ยังกังวลในเรื่องความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยที่คาดกันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะปรับขึ้นอีก เพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งต้องรอฟังผลการพิจารณาโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้
ยังไม่มีใครตอบได้ว่าธนาคารอื่นๆ จะต้องถูกปิดตัวตามไปด้วยหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือหุ้นของธนาคารต่างๆ ทั่วโลกพร้อมใจกันดิ่งลงอย่างน่ากังวล และในขณะนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถออกมาให้ความเห็นใดๆ ได้ เพราะต้องเก็บตัวจนกว่าจะสามารถออกมาให้ความเห็นได้อีกครั้งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม ผลจากการปิดกิจการธนาคารทั้งสามแห่ง น่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จำเป็นต้องทบทวนการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อต้านมิให้เงินเฟ้อหนักกว่าเดิม แต่จำเป็นต้องกลับมาทบทวนโดยเร็วว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเท่าไร ระหว่าง 25 หรือ 50 basic points
การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 21-22 มีนาคมนี้ มีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเท่าไร และต้องพิจารณาทบทวนตัวเองด้วยว่า การขึ้นดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องนั้น สามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ แล้วเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาธนาคารต้องถูกปิดตัว เพราะปัญหา bank run ด้วยหรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี