หนึ่งในกรรมวิธีโกงเลือกตั้งที่มีลักษณะพิเศษคือหน้าด้านหน้าทนที่สุดนั้นได้แก่การใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง หรือนัยหนึ่งก็คือการอ้างว่าออกตรวจราชการ แต่แท้จริงก็คือการไปหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งได้เกิดกระแสต่อต้านการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้
เพราะเป็นการท้าทายประชาชนอย่างโจ่งแจ้งที่สุด เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้ได้ และในที่สุดก็มีการนำหลักฐานเอามาแฉกันถึงการมีหนังสือสั่งการให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ระดมกันมารวมตัวกันซึ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องสกปรกเหม็นคาวและฉาวโฉ่มากที่สุดที่ก้องกระหึ่มไปทั่วประเทศและทั่วโลกในขณะนี้
เป็นการโกงเลือกตั้งที่ทุเรศก็เพราะว่ามีการใช้อำนาจรัฐไปเป็นเครื่องมือในการเลือกตั้งใช้ทรัพย์สินของรัฐไปใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้ง ใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปเป็นประโยชน์ในการเลือกตั้ง และใช้สถานการณ์ต่างๆ ของรัฐซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงและภาษีของประชาชนไปแอบอ้างเป็นผลงานในการหาเสียงเลือกตั้ง
ปรากฏว่าผู้ที่มีหน้าที่กำกับดูแลก็นั่งกันหน้าตาเฉย ไม่มีใครรู้สึกสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบที่จะป้องกันแก้ไขจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมืองที่ต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม
ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านซึ่งเสียเปรียบและเสียหายเช่นเดียวกับประชาชนก็ไม่พอใจที่มีการใช้กลไกของรัฐ ทรัพย์สมบัติของรัฐ และทรัพยากรของรัฐไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งซึ่งเป็นการเอาเปรียบ เป็นการทุจริต ทำให้การเลือกตั้งสกปรกเศร้าหมอง
ที่น่าแปลกใจก็คือการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดหลายสถาน แต่ละสถานล้วนร้ายแรงที่ถึงขั้นยุบพรรค ติดคุกติดตะราง และถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองด้วยประการต่างๆ แต่ไฉนเล่าจึงไม่ใส่ใจนำพา หรือฮึกเหิมลำพองว่าอำนาจเป็นใหญ่ หน้าไหนก็ไม่กล้าแตะต้อง
ถ้าคิดเช่นนั้นก็ผิด เพราะเป็นความคิดที่ท้าทายพลังอำนาจของประชาชนและท้าทายต่ออำนาจแห่งธรรม ที่สำคัญคือทำให้ไม่ได้รับการยอมรับในผลของการเลือกตั้ง ซึ่งจะก่อเกิดเป็นกลียุคในวันข้างหน้า
ปรากฏว่าเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ก็มีผู้ไปยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบไต่สวนและดำเนินการกับการโกงการเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าวนั้น โดยเนื้อข่าวระบุว่ามีการรวบรวมหลักฐานถึงการอ้างการออกตรวจราชการเพื่อหาเสียงเลือกตั้งถึง 19 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งก็โจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม เย้ยฟ้าท้าดินไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง
น่าเสียดายที่ยังไม่ปรากฏรายละเอียดว่าการใช้อำนาจอ้างการตรวจราชการไปหาเสียงเลือกตั้งทั้ง 19 ครั้งนั้นได้ใช้เงินงบประมาณไปจำนวนเท่าใด ได้ใช้อุปกรณ์เครื่องมือของรัฐรวมแล้วเท่าใด ได้ใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปร่วมสังฆโกงแล้วจำนวนกี่คน และมีการเกณฑ์ประชาชนไปร่วมทั้งสิ้นกี่คน มีการใช้เงินเป็นจำนวนเท่าใด และในจำนวนนั้นเป็นงบประมาณแผ่นดินรวมทั้งสิ้น
เท่าใด
แต่ทว่าแม้ไม่ได้ระบุจำนวนเหล่านั้นก็คงไม่เป็นไร เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ที่มีหน้าที่ที่จะต้องตรวจสอบไต่สวน ซึ่งต้องกระทำการโดยเร็วตามระเบียบการไต่สวนใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเร็วๆ นี้ และจะได้เป็นบทพิสูจน์ว่าระเบียบนี้ใช้กับพรรคการเมืองทุกพรรคและนักการเมืองทุกคน หรือว่าจะใช้กับพรรคการเมืองบางพรรคและนักการเมืองบางคนดังที่เขากล่าวหากัน
ข้อกล่าวหาดังกล่าวทั้ง 19 รายการนั้นถ้าหากปรับบทกฎหมายแล้วก็เข้ากรณีที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดร้ายแรงในประการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ข้อแรก พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อาจต้องรับผิดถึงขั้นต้องยุบพรรค เพราะการใช้อำนาจรัฐฉ้อฉล ใช้ผู้คนทรัพยากรและงบประมาณไปในการหาเสียงเลือกตั้งเฉพาะพรรค เฉพาะคน เป็นเรื่องร้ายแรงมาก ที่ในอดีตไม่มีใครกล้าท้าทายขนาดนี้
ข้อที่สอง กรรมการบริหารของพรรคการเมือง และผู้นำของพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคการเมืองเหล่านั้นที่ได้สมรู้และร่วมกระทำในการดังกล่าวนั้นก็ย่อมมีความผิดอย่างเดียวกัน พูดตามภาษาชาวบ้านก็คือต้องประหารชีวิตทางการเมืองให้ตกตายไปพร้อมกัน
ข้อที่สาม สำหรับบุคคลผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐ และใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐไปในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ส่อว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบสำหรับตนเองและพรรคการเมืองของตน เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งมีความผิดอาญาโทษร้ายแรง และถ้าปรากฏชัดว่าได้นำทรัพย์สินหรืองบประมาณแผ่นดินไปใช้เป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายนั้นให้แก่รัฐด้วย
เอากันแค่ความผิดสามข้อนี้ก็พอเห็นได้ชัดแล้วว่าถ้าการปฏิบัติตามกฎหมายมีอยู่ในบ้านเมืองนี้ หรืออานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายสามารถใช้บังคับอย่างเป็นธรรม ทั่วถึงไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง หรือใช้บังคับกับคนบางพวกไม่ใช้บังคับกับคนบางพวก ในไม่ช้าก็อาจจะได้เห็นเหตุการณ์ที่มีการยุบพรรค จำคุก ยึดทรัพย์สิน ผู้ก่อกรรมทำเข็ญกับแผ่นดินไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างก็ได้
อันคนเรานั้นปกติย่อมรักตัวกลัวทำผิด ย่อมมีความเกรงกลัวต่อบทกฎหมายและความศักดิ์สิทธิ์ของศาล รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะคุ้มครองประเทศ คุ้มครองสังคม และผู้คนทั้งหลายให้มีความปลอดภัย มีความสวัสดี
แต่ที่มีการบังอาจกระทำผิดคิดชั่วท้าทายประชาชนทั่วประเทศในการโกงการเลือกตั้งอย่างโจ๋งครึ่มนี้ก็แสดงให้เห็นว่ามีความไม่เป็นปกติเกิดขึ้น หรือนัยหนึ่งก็คือเป็นบทสะท้อนของความเป็นรัฐล้มเหลวที่ชัดเจนที่สุด
ก็คอยดูกันว่าความศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองนี้ ตลอดจนพระสยามเทวาธิราชและพลังของประชาชนทั่วประเทศจะทำให้กฎแห่งกรรมในเรื่องนี้เป็นที่เห็นได้ในปัจจุบันนี้หรือไม่อย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี