วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 18 มี.ค. 2566) “ที่นี่แนวหน้า”มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมภาพยนตร์สนทนา หัวข้อ“รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์” ณ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)ถ.พุทธมณฑล สาย 5 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยเป็นการฉายภาพยนตร์สารคดี เรื่อง“The Social Dilemma” ซึ่งกิจกรรมนี้ทางหอภาพยนตร์ฯจัดร่วมกับ โคแฟค (ประเทศไทย) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ Netflix
The Social Dilemma หรือชื่อไทยคือ “ทุนนิยมสอดแนม: ภัยแฝงเครือข่ายอัจฉริยะ” ออกฉายครั้งแรกผ่านทาง Netfilx แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง (Streaming) เจ้าดัง
เมื่อปี 2563 เนื้อหาเป็นการฉายภาพพฤติกรรมผู้คนในยุคปัจจุบันที่ผูกติดกับอินเตอร์เนตและสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) แทบจะ 24 ชั่วโมง พร้อมกับมีอดีตคนทำงานในบริษัทแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์หลากหลายองค์กร ออกมา “แฉ” ว่าบริษัทเหล่านั้นทำอย่างไรให้ผู้คนอยู่กับสื่อสังคมออนไลน์จนเข้าขั้น “เสพติด” และยิ่งคนใช้งานมากเท่าไรบริษัทก็มีกำไรสูงขึ้นเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งมันได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมหลากหลายประการ
หลังฉายภาพยนตร์จบ ยังมีกิจกรรมสนทนากับสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งพาย้อนกลับไปในยุค 1-2 ทศวรรษก่อน อันเป็นช่วงที่โลกเพิ่งรู้จักสื่อสังคมออนไลน์ เวลานั้นผู้คนมองเห็น “ความหวัง”ว่าสื่อใหม่นี้จะช่วยส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็ได้สัมผัสกับด้านมืดของมัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวลวง-ข่าวบิดเบือน (Fake News-Disinformation) โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพซึ่งการเลือกเชื่ออาจส่งผลถึงชีวิต
หนึ่งในตัวอย่างที่ “คลาสสิก” ของหลายๆ คนในสังคมไทยเมื่อกล่าวถึงปัญหาข่าวลวงหรือบิดเบือนด้านสุขภาพ คือ “มะนาวโซดารักษามะเร็ง” ซึ่ง สุภิญญา เล่าว่า ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลายคนเชื่อ กระทั่งเมื่อตนเองกลายเป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งคนไข้โรคนี้จะมีอาการปากขมเพราะฤทธิ์ยาหรือการทำคีโมบำบัด และการดื่มน้ำมะนาวโซดาก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง แต่เรื่องนี้ถูกนำไป “ขยายความเกินจริง” จนมีบางคนต้องไปพบแพทย์เพราะมีอาการกรดไหลย้อน และต้นตอก็มาจากการดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวมากเกินไป หรืออย่างช่วง 3 ปีล่าสุด ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็มีข่าวลวง-ข่าวบิดเบือน เรื่องการป้องกันโรคและการฉีดวัคซีน
“ข้อมูลส่วนบุคคล” ก็เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในภาพยนตร์ The Social Dilemma ซึ่งโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ คือการมี “อัลกอริทึม (Algorithm)” หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คอยสอดส่องว่าผู้ใช้แต่ละคนดู-อ่าน หรือค้นหา (Search) ส่งต่อ (Share)แสดงความคิดเห็น (Comment) แสดงความรู้สึก (เช่น Like)เนื้อหาแบบใด จากนั้นจึงป้อนเนื้อหาทำนองเดียวกันมาให้เพื่อดึงความสนใจไม่ให้ผู้ใช้งานละจากแพลตฟอร์ม อีกทั้งเก็บเป็นข้อมูลเพื่อนำไปขายให้กับผู้ประกอบธุรกิจสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนเองได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
โมเดลธุรกิจแบบนี้ของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ถึงกับมีผู้เปรียบเทียบว่า “ข้อมูลมีค่าเหมือนน้ำมัน” เพราะสร้างผลกำไรมหาศาล ทำให้บริษัทแพลตฟอร์มจากที่เป็นเพียงสตาร์ทอัพขยายตัวขึ้นไปเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ระดับที่อาจจะมีอำนาจยิ่งว่ารัฐเสียด้วยซ้ำไป นำไปสู่การที่หลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา หรือกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) มีกระแสเรียกร้องให้แพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลายดำเนินธุรกิจแบบคุ้มครองผู้บริโภคและสังคมมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย น.ส.สุภิญญา ให้ความเห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ปัจจุบันแม้กระทั่งสื่อมวลชนก็ยังลำบากเพราะเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มกันหมด ต้องจ่ายเงินเพื่อกระตุ้นการมองเห็นของผู้ติดตามสื่อ และต้องทำเนื้อหาล่อเป้า (Clickbait) ที่ไม่มีคุณภาพเพื่อดึงให้คนเข้าไปดู ซึ่ง “เมื่อไปดูหลายประเทศจะเห็นความพยายามของรัฐในการต่อรองกับบริษัทแพลตฟอร์ม” เพื่อให้เห็นความสำคัญของนโยบายสาธารณะมากขึ้น และไทยเองก็ควรจะทำเช่นกัน
แต่ปัญหาคือ “คนไทยไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ” เมื่อเทียบกับรัฐสภาของสหรัฐฯ หรือของ EU ที่เรียกแพลตฟอร์มไปเจรจาได้ ซึ่งที่ทำได้เพราะประชาชนให้ความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งว่าจะรักษาผลประโยชน์สาธารณะไม่ใช่ปิดกั้นความคิดเห็น เพราะภาครัฐของประเทศเหล่านั้นพยายามรักษาสมดุลระหว่างความรับผิดชอบของเอกชนกับหลักการสิทธิมนุษยชน
“ในประเทศไทยเรา พอรัฐบาลหรือแม้แต่ กสทช. หรือกระทรวงดีอีเอส (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ลุกขึ้นมาจะทำอะไรกับเฟซบุ๊กหรือติ๊กต็อก คนไทยจะไม่เชียร์รัฐบาล เพราะส่วนหนึ่งเราไม่มีความเชื่อใจในรัฐบาลว่าเขาไปทำตรงนั้นเพราะเขาจะปกป้องประโยชน์สาธารณะของเราหรือปกป้องประโยชน์ของรัฐ นี่กลายเป็นจุดอ่อนมากๆ ที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ใหญ่ขึ้นๆ โดยที่คนไทยไม่มีอำนาจต่อรอง เพราะรัฐไม่ต่อรองให้เราที่เอาประโยชน์สาธารณะเป็นตัวตั้ง” สุภิญญา กล่าว
สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า หน่วยงานของรัฐในไทยไม่ค่อยเอาจริงเอาจรังกับโฆษณาที่กระทบต่อผู้บริโภค แต่จะตื่นเต้นต่อเมื่อเป็นเรื่องที่กระทบต่อการเมือง ผู้มีอำนาจ ความมั่นคงของรัฐ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อินเพราะรัฐไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ภาพรวมของประเทศ แต่อย่างไรก็ต้องอาศัยบทบาทของรัฐเพราะมีอำนาจทางปกครองสามารถสั่งให้แพลตฟอร์มทำหรือไม่ทำสิ่งต่างๆ ได้ และมีมาตรการดำเนินการหากฝ่าฝืน เช่น เก็บภาษีหรือไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจ ดังนั้นทำอย่างไรจะสร้างความเชื่อมั่นต่อภาครัฐให้ได้ก่อน แล้วให้ภาครัฐมาเป็นปากเป็นเสียงของสาธารณะ
อีกด้านหนึ่ง “ผู้ใช้งานก็ต้องรู้เท่าทัน” โดยอดีต กสทช. ผู้นี้ ฝากหลักคิด 1.เห็นเนื้อหาใดก็อย่าเพิ่งเชื่อในทันที โดยเฉพาะ “เนื้อหาที่ตรงกับความเชื่อของตัวเรา-
เนื้อหาที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึก” เหล่านี้ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะจิตคนเรามักปรุงแต่งไปก่อนและมีแนวโน้มที่จะเชื่ออย่างรวดเร็ว 2.ไม่อินกับเรื่องใดๆ มากเกินไป หรือทางศาสนาพุทธจะมีคำว่า “อุเบกขา” เพื่อให้จิตใจเปิดกว้าง มีวิธีคิดที่เผื่อใจไว้กับเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาเสมอและ 3.เปิดรับข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อป้องกันภาวะ“ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” หมายถึงเมื่อเราอยู่ในที่ที่ทุกคนสนใจหรือมีความเห็นในทางเดียวกัน ก็อาจทำให้เราหลงเข้าใจไปเองว่าทั้งโลกหรือทั้งสังคมคิดเหมือนกับเราทั้งหมด
ยังมีการพูดถึงในอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี เช่น การให้เด็กเล็กเข้าถึงอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เนตซึ่งยังไม่ใช่วัยอันควร,
การที่พ่อแม่ผู้ปกครองถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโอบุตรหลานตัวน้อยๆ ในทุกอิริยาบถแล้วนำไปอวดกัน ซึ่งมีข้อค้นพบว่าทำให้เด็กเข้าใจไปว่าตนเองเป็นคนที่ถูกสนใจ และมักจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตเมื่อโตขึ้นแล้วพบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีก ไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI)ที่จะมีบทบาทกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากขึ้น ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ในต่างประเทศมีความตื่นตัวกันมาก แต่ในไทยยังมีค่อนข้างน้อย!!!

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี