ไม่ใช่ไปดูการเสียภาษี ว่าใครเสีย
ไม่ใช่ไปดูการทำสวน ว่าใครทำ
ไม่ใช่ไปดูว่าชื่อในทะเบียน ยังเป็นของใคร...
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. กล่าวกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสื่อให้ตรวจสอบ “สวนชูวิทย์” สวนสาธารณะ ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ดำเนินการแปรสภาพไปทำโครงการอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับหมื่นล้านบาท
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นข้อมูลที่เป็นเอกสารจากกทม. พบว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวยังเป็นชื่อบุคคล ไม่ได้เป็นที่สาธารณะ กทม.ไม่ได้มีส่วนร่วมเข้าไปปรับปรุงสวนสาธารณะแต่อย่างใด ยังเป็นที่ดินเอกชนอยู่ และมีการจ่ายภาษีที่ดินต่อเนื่องตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา การจ่ายภาษีรวม 3,000,000 บาท ขณะเดียวกัน ในการยกที่ดินให้เป็นสาธารณะ เข้าใจว่าเกิดขึ้นในกระบวนการชั้นศาลฎีกา ซึ่งกทม.ไม่มีข้อมูล จึงได้มอบหมายให้ปลัด กทม. ทำหนังสือขอคัดลอกคำพิพากษาหรือคำให้การในศาลฎีกาว่ามีแนวทางปฏิบัติทางกฎหมายอย่างไร และข้อมูลที่แสดงเจตจำนงทั้งถ้อยแถลงและเจตนา ซึ่งทางศาลไม่ได้แจ้งข้อมูลส่วนนี้ ต้องไปดูรายละเอียดให้ชัดเจนต่อไป
1. ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” นักกฎหมายมหาชน ได้เสนอมุมมองในเรื่องนี้ชัดเจน
ระบุว่า การอุทิศที่ดินให้ใช้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำโดยแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยาย ที่ดินนั้นย่อมตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันทีที่แสดงเจตนาอุทิศ ตาม ป.พ.พ.1304 ไม่จำต้องจดทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องแสดงเจตนารับ
มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2555,4377/2549 วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11089/2556 เมื่อที่ดินตกเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ผู้ยกให้จะทำหนังสือยกเลิกการยกให้ จึงไม่ทำให้ที่ดินนั้นกลับคืนมาเป็นของผู้ยกให้อีก
“...การที่นายชูวิทย์ มีเจตนาอุทิศที่ดินให้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินในคดีรื้อบาร์เบียร์ โดยนายชูวิทย์ สร้างสวนชูวิทย์เพื่อประชาชนในการออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจเพื่อให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบา วิธีการอุทิศที่ดินเพื่อให้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) จะด้วยวาจาหรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อศาล ถือเป็นการอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสมบูรณ์แล้วตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
เมื่อการอุทิศที่ดินให้เป็นประโยชน์สาธารณะ แม้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้อุทิศ หรือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ที่ดินนั้นยังคงสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2544 5112/2538 3008/2535 วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน”
ดร.ณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า กรณีนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้สัมภาษณ์พิจารณาเพียงว่า กทม.ไม่ได้มีส่วนร่วมเข้าไปปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ ยังเป็นที่ดินเอกชนอยู่ และมีการจ่ายภาษีที่ดินอย่างต่อเนื่องตามกฎหมายที่ผ่านมาสรุปภาษาชาวบ้าน คือที่ดินยังเป็นของนายชูวิทย์ ถามว่าก่อนที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายชัชชาติ ปรึกษานิติกรกทม.หรือฝ่ายกฎหมายหรือยัง
“...ผมจะสอนมวยให้จะได้มีความรู้กฎหมายในการทำหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.จะต้องยึดหลักกฎหมาย เน้นความถูกต้อง ไม่เน้นถูกใจ ผมไม่ได้รู้จักกับนายชูวิทย์ จอมแฉ หรือนายศรีสุวรรณ แต่จะให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชน จะได้เป็นทางออกของบ้านเมือง แม้จะเป็นเรื่องที่ดินส่วนตัวของนายชูวิทย์ แต่นายชูวิทย์ อุทิศที่ดินให้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติที่ดินแล้ว เพื่อลดโทษคดีอาญาในชั้นฎีกาสถานเบาถือเป็นเรื่องสาธารณะ ผมสามารถติชมด้วยความสุจริตได้ ให้นายชัชชาติไปอ่านแนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยได้ชัดแจ้งเพื่อสำเหนียกในการรักษาผลประโยชน์สาธารณะ
แม้นายชูวิทย์ จะมีทนายความข้างกาย ต้องยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง หลักนิติรัฐ นายชูวิทย์สร้าง “สวนชูวิทย์” อุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นการกระทำโดยปริยาย โดยยินยอมให้ประชาชนทั่วไปที่มิได้มีนิติสัมพันธ์ทางส่วนตัวกับนายชูวิทย์ ไม่ว่าทางใด ได้อย่างอิสระเสรี แม้ไม่ได้จดทะเบียนยกให้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินแปลงดังกล่าวตกเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันแล้วตาม ป.พ.พ.มาตรา 1403(2)” ดร.ณัฐวุฒิกล่าว
2. กรณีนายชูวิทย์สร้างสวนสาธารณะเอง เสียภาษีที่ดินให้แก่รัฐเอง ยืนยันว่ากรรมสิทธิ์กลับมาตกเป็นของนายชูวิทย์ หรือไม่?
“ดร.ณัฎฐ์” ระบุว่า เคยมีคำวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานไว้ การยกที่ดินให้กับทางราชการโดยมีเงื่อนไขว่าต้องเริ่มดำเนินการปลูกสิ่งปลูกสร้างอาคารภายในเวลาที่กำหนด หากหน่วยงานราชการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ดินไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1434/2563
แต่กรณีของนายชูวิทย์ หากอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว ที่ดินนั้นย่อมตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันทีที่แสดงเจตนาอุทิศ แม้นายชูวิทย์เพิ่งคิดได้ภายหลังพ้นโทษแล้ว แม้กรุงเทพมหานครมิได้เข้ามาถือประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว โดยนายชูวิทย์สร้างสวนสาธารณะเอง และเข้าครอบครองใช้ประโยชน์นานเพียงใด รวมทั้งเสียภาษีที่ดินให้แก่รัฐ ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของนายชูวิทย์ได้อีก แม้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็ตาม
เพราะมาตรา 1306 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
เทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2544 ให้ประชาชนเทียบเคียง เหมือนการอุทิศยกที่ดินให้เป็นถนนสาธารณะ หรืออุทิศที่ดินให้แก่สาธารณประโยชน์ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน หรืออุทิศให้แก่วัด โรงเรียน สาธารณสถานต่างๆ พี่น้องประชาชนจะได้เห็นภาพชัดแจ้งยิ่งขึ้น
3. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุถึง ๑๐ ประเด็นคำพิพากษาศาลฎีกา “คดีการอุทิศที่ดินของเอกชน”ให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
เทียบเคียงกับกรณีของที่ดินสวนสาธารณะสวนชูวิทย์
การอุทิศที่ดินมีผลทันที โดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อีก อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๔๓๗๗/๒๕๔๙
การอุทิศที่ดินมีผลทันทีเช่นกัน แม้หนังสืออุทิศจะระบุว่า จะต้องไปจดทะเบียน ก็ตาม อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๔๓๗๗/๒๕๔๙
เมื่อการอุทิศที่ดินมีผลสมบูรณ์โดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอน จะฟ้องศาลบังคับให้ไปจดทะเบียนโอนไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๑๒๗๒/๒๕๓๙
การอุทิศที่ดินของเอกชนแม้ด้วยวาจา ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๒๖๔/๒๕๕๕
การแสดงเจตนาอุทิศที่ดิน ไม่จำต้องมีนายอำเภอ หรือนายก อปท.ในกรณีที่ดินในกรุงเทพมหานครก็ไม่จำเป็นต้องมีกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย หรือกรมธนารักษ์แสดงเจตนารับ ก็มีผลสมบูรณ์แล้ว อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๒๓๗๗/๒๕๔๙
การที่ผู้อุทิศที่ดิน กลับเข้ามาครอบครองที่ดินที่อุทิศไปแล้ว แม้จะกลับมาครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ทำให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้อุทิศที่ดินนั้นอีก จะยกเอาอายุความต่อสู้กับแผ่นดิน ไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๒๖๔/๒๕๕๕
ผู้อุทิศที่ดินจะขอยกเลิกการอุทิศที่ดิน ไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๑๑๐๘๙/๒๕๕๖
เมื่อมีการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณประโยชน์ แม้หน่วยงานราชการยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้อุทิศ หรือตามเงื่อนไขการอุทิศให้ก็ตาม ที่ดินนั้นก็ยังคงสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๒๐๐๔/๒๕๔๔
การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำ “โดยปริยาย” ก็ได้ เช่น ยินยอมให้ประชาชนใช้สอยโดยไม่หวงห้าม อ้างอิงฎีกาเลขที่ ๖๐๖๗/๒๕๕๒,๒๕๒๖/๒๕๔๐ แต่ต้องเป็นการยินยอมให้ประชาชนทั่วไปที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวกับเจ้าของ ไม่ว่าทางใดๆ
4. ประเด็นสำคัญในขณะนี้ เพื่อพิจารณาว่า สวนชูวิทย์ที่เป็นที่ดินคดีรื้อบาร์เบียร์นั้น ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แล้วหรือยัง?
ไม่ใช่ไปดูการเสียภาษี ว่าใครเสีย
ไม่ใช่ไปดูการทำสวน ว่าใครทำ
ไม่ใช่ไปดูว่าชื่อในทะเบียน ยังเป็นของใคร
แต่จะต้องดูว่า นายชูวิทย์ได้เคยมีการกระทำในลักษณะอุทิศให้สาธารณะ แสดงเจตนาโดยแจ้งชัด หรือไม่
และไม่ใช่ไปถามนายชูวิทย์ในปัจจุบัน ว่าเจตนายกให้หรือไม่ด้วย เพราะคนเราเปลี่ยนใจได้ ต้องพิจารณาตามหลัก “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
ควรจะต้องไปดูทั้งคำให้การในคดีรื้อบาร์เบียร์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ลดโทษให้นายชูวิทย์จากเรื่องนี้
และต้องดูการแถลงข่าวต่อสาธารณชนของนายชูวิทย์ ตอนประกาศทำสวน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 และตอนเปิดสวน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่าการแถลงต่อสาธารณะ แสดงเจตนาอุทิศให้เป็นสาธารณสมบัติให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือไม่?
ถ้าเจตนาอุทิศให้แล้ว จะมาเปลี่ยนใจเอาคืนมาทำธุรกิจภายหลังตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ก็ชัดเจนว่ากระทำได้หรือไม่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี