ในระยะไม่กี่ปีมานี้ประเทศไทยได้แตกสามัคคีภายในอย่างร้ายแรงที่สุด มีสภาพไม่ต่างกับความแตกแยกเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ประหนึ่งว่าประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งมีผู้คนที่อ้างว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน เป็นผู้ปกป้องสถาบัน อีกซีกหนึ่งคือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกชังชาติ ชังเจ้า เป็นพวกล้มเจ้า
ในช่วงหลังเลือกตั้งปี 2562 มีการตั้งท่าจะกล่าวหาครั้งใหญ่ที่สุดว่าบรรดาคนทั้งหลายที่เลือกพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีจำนวนรวมกันร่วม 13 ล้านคนเป็นพวกชังชาติ เป็นพวกชังเจ้า โชคดีที่มีเสียงท้วงติงอย่างหนักหน่วงว่าการกล่าวหาเช่นนั้นจะเป็นการผลักประชาชนถึง 13 ล้านคน ให้เป็นพวกชังชาติ ชังเจ้า ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสถาบัน จึงเลิกล้มความคิดนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
มีการตั้งขบวนการ IO ถึงสี่ขบวน และรอการตรวจสอบว่าได้มีการใช้งบประมาณแผ่นดินโดยผิดกฎหมายไปสนับสนุนขบวนการ IO ดังกล่าวเพื่อปฏิบัติภารกิจในการแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสองฝ่าย และได้ทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ทำให้สถาบันถูกนำมาใช้อ้างอิงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา มีการนำเรื่องราวของสถาบันพระมหากษัตริย์และคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาเผยแพร่อย่างกว้างขวางยิ่งกว่ายุคใดๆ ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและราษฎรทั้งปวง
แต่ไม่ได้ทำอยู่เพียงเท่านั้น ทุกครั้งและทุกเรื่องที่มีการนำเรื่องราวของพระมหากษัตริย์และอดีตพระมหากษัตริย์มาพรรณนาก็จะวกนำสถาบันนั้นมาโหนมาอ้างเป็นประโยชน์ของพวกตนว่ามีแต่พวกตนที่เป็นพวกจงรักภักดี เป็นผู้ปกป้องสถาบัน นั่นก็คือทำให้บรรดาประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันถูกชักชวนให้มาสนับสนุนคณะบุคคลที่อ้างตนว่าเป็นผู้จงรักภักดีและปกป้องสถาบัน นี่คือการเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการระดมความสนับสนุนจากประชาชนผู้มีความจงรักภักดี
หรือไม่ก็อีกอย่างหนึ่งคือทุกครั้งที่มีการนำเรื่องราวและพรรณนาพระคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะวกไปกล่าวหาว่าผู้ที่มีความเห็นต่างกับตนเป็นผู้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอริราชศัตรู ได้กระทำการที่ถือได้ว่าล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อุกฉกรรจ์มหันตโทษ เพราะใครก็ตามถ้าหากทำความผิดตามข้อกล่าวหาเช่นนั้นจะมีโทษทางอาญาตั้งแต่ประหารชีวิตลงมาโดยลำดับ
การกระทำเช่นนั้นจึงเป็นการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนในการทำลายฝ่ายที่มีความเห็นต่างกับตน และเป็นการสร้างศัตรูให้กับสถาบันโดยเจตนา ที่อาจถือได้ว่านี่คือการมาดร้ายมุ่งทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อีกอย่างหนึ่ง
นอกจากตั้งขบวน IO ปฏิบัติการถึงสี่ขบวนแล้ว ยังมีการจัดตั้งมวลชน 2-3 กลุ่มให้เป็นขบวนนักร้องคอยร้องเรียนกล่าวโทษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นกระทั่งลูกเล็กเด็กน้อยเยาวชนว่าดูหมิ่นอาฆาตทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และเที่ยวร้องไปทั่วทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้คนจำนวนมากตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาตามมาตรา 112
และเป็นเรื่องแปลกที่ทุกเรื่องซึ่งคนในขบวนดังกล่าวไปกล่าวโทษร้องเรียนโดยที่ตนเองไม่ใช่ผู้เสียหายหรือเกี่ยวข้องใดๆ ก็จะมีขบวนการรับลูกจัดการกับผู้ถูกกล่าวหาโดยรวดเร็ว ทำให้คนจำนวนมากตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีที่เป็นปรปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยิ่งนานวันก็มีผู้ถูกดำเนินการเรื่องนี้มากขึ้น ทำให้ญาติพี่น้อง ครอบครัวเพื่อนฝูงพากันทุกข์ร้อนตามๆ กัน
เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะแต่ก่อนนั้นหากมีการแจ้งความกล่าวหาบุคคลใดว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศจะรับดำเนินการไม่ได้ จะต้องส่งเรื่องมาให้ตำรวจสันติบาลพิจารณาว่ากรณีมีเหตุที่จะรับดำเนินคดีหรือไม่ก่อน ซึ่งทางตำรวจสันติบาลจะมีมาตรการและระบบกลั่นกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และประสานกับหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็จะมีคำสั่งว่าให้รับดำเนินการหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีคำสั่งไม่ให้รับดำเนินการ เรื่องก็จะสิ้นสุดลง
เพราะขบวนการ IO และขบวนการนักร้องดังกล่าวจึงผลักไสไล่ส่งประชาชนออกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งเกิดความน้อยอกเสียใจคับแค้นใจเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง แต่ขบวนการโหนเจ้าอ้างเจ้าเหล่านี้หาได้สำนึกไม่ ยังคงฮึกเหิมลำพองขยายการปฏิบัติออกไปอย่างกว้างขวาง
ในขณะที่การโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นดาษดื่นทั้งแผ่นดินกลับทำเป็นมองไม่เห็น ไม่เคยกล่าวหาร้องเรียนเรื่องเหล่านี้เลย โดยเฉพาะบรรดาหัวโจกที่คนทั้งหลายเข้าใจว่าเป็นต้นตอของสถาบัน ขบวนการเหล่านี้ก็ไม่เคยแตะต้องปล่อยให้ลอยนวลตามอำเภอใจ
นักการทูตต่างประเทศที่บังอาจก้าวก่ายแทรกแซงในลักษณะปกป้องผู้กระทำความผิดกลับขยายผลการปฏิบัติ โดยขบวนการเหล่านี้ไม่เคยให้ความสนใจไยดี
การตั้งกลุ่มโซเชียลมีเดียทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ปฏิบัติตนเป็นอริราชศัตรูอย่างชัดเจน ขบวนการดังกล่าวก็มิได้ใส่ใจ ปล่อยให้ทำกันตามสบายใจ
เหล่านี้จึงทำให้สถาบันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของขบวนการโหนเจ้า และเมื่อการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 มาถึง ประชาชนทั่วประเทศก็ได้ลงฉันทามติพร้อมกัน ไม่ยอมรับขบวนการโหนเจ้าดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว และพากันไปลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่ถูกขบวนการนี้กล่าวหามาอย่างหนักหน่วง
โชคยังดีที่พรรคการเมืองบางพรรคที่มีพฤติกรรมโหนเจ้าพ่ายแพ้เลือกตั้งอย่างยับเยิน โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ในหน่วยทหารทุกหน่วย แม้กระทั่งโรงเรียนนายร้อย จปร. และไม่ได้รับคะแนนเสียงจากมวลชนจิตอาสาทั้ง 7 ล้านคน คนทั้งหลายจึงได้เห็นชัดเจนว่าสถาบันทรงอยู่เหนือการเมือง มิได้สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องทางการเมืองตามที่ถูกอวดอ้างหรือแอบอ้างนั้นเลย
ดังนั้นพฤติกรรมโหนเจ้าแอบอ้างเจ้าต่างหากที่กำลังเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสถาบันในปัจจุบันนี้ เป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศพึงทำความเข้าใจและปฏิเสธการกระทำทั้งหลายของขบวนการโหนเจ้าเหล่านี้ ทั้งพึงถือว่าพฤติกรรมเช่นนี้แหละคือการบ่อนทำลายสถาบันอย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี