เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้โพสต์เฟซบุ๊กไปว่า
“เป็นเลือกตั้งที่บันเทิงน่าดู
พรรคที่ได้ สส. อันดับ 1 และ 2 จับมือกันตั้งรัฐบาล ยังไม่ทันเลือกนายกฯ ต่างประกาศว่านโยบายหลักที่ตนใช้หาเสียงทำไม่ได้หรือจะไม่ได้ทำละนะ
กองเชียร์ของทั้งสองพรรค ฮึ่มฮั่มใส่กัน เตรียมม็อบแล้วก็มี
ส่วนสลิ่ม ไปเที่ยวทะเลมั่ง หาของกินอร่อยเฮฮาหน้าเฟซ
หัวหน้าพรรคอันดับ 1 เร่ไปพบหน่วยงานต่างๆ ทั้งที่ยังไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนอะไรเลย รู้ว่าตัวเองมีคดีอยู่ รอดยาก เลยรีบสร้างภาพ ปั่นกระแส หวังกดดันทั้ง สว. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ
พรรคอันดับ 1 ดึงดันจะแก้ 112 ในทางเป็นปฏิปักษ์กับสถาบัน จะนิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย พรรคอันดับ 2 ไม่เอาด้วย ไม่มีใครเอาด้วย ไม่สามารถใส่ใน MOU แต่อ้างฉันทามติหน้าตาเฉย ทั้งที่พรรคตัวเองเป็นเสียงข้างน้อยในประเทศที่จะแก้ 112
ต่างชาติเทขายหุ้นทุกวันหลังเลือกตั้ง 14 วัน 3.2 หมื่นล้าน ส่วนตราสารหนี้ก็ถูกต่างชาติเทขายสุทธิกว่า 4 หมื่นล้านไปละ
ยังไม่หมดแค่นี้ รอดู อย่างบันเทิง 555”
ปรากฏว่า มีผู้อ่านส่งข้อความเข้ามาขอให้ขยายความเพิ่มเติมจำนวนมาก
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
1. พรรคก้าวไกล หาเสียงด้วยแพ็กเกจนโยบายสวัสดิการตามช่วงวัยต่างๆ อาทิ
เด็กแรกเกิดได้ 1,200 บาทต่อเดือน เงินขวัญถุงแรกเกิด 3,000 บาท เรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวันขึ้นทันทีทั่วประเทศและขึ้นทุกปี สูงวัย 3,000 บาทต่อเดือน ฯลฯ
อนิจจา รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ศิริกัญญา ยอมรับว่า สวัสดิการต่างๆ อาจจะไม่หน้าตาเหมือนแพ็กเกจที่หาเสียง หากไม่สามารถหาเงินได้ตามแผน 6.5 แสนล้านบาท เพราะเป็นรัฐบาลผสม
ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน ก็อาจจะยืดไทม์ไลน์เพราะต้องเจรจากับผู้เกี่ยวข้อง และเงินคนชรา 3,000 บาทก็จะได้ปี 2570
ล่าสุด เรียนฟรีปริญญาตรี ก็ออกมาปัดกันให้วุ่นว่าไม่ได้หาเสียงไว้ เพราะไม่สามารถจัดงบให้ทันในสมัยนี้ (ทั้งๆ ที่ หาเสียงไว้ชัดเจน มีหลักฐานบันทึกคลิปวีดีโอ)
2. พรรคเพื่อไทย รับ แผนแจกเงินหมื่นบาทเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ได้ไปต่อ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยแถลงข่าว ยอมรับว่า ต้องพับโครงการแจกเงินหมื่นบาทเข้าดิจิทัลวอลเล็ตไปก่อน เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 5.6 แสนล้านบาท ขณะที่พรรคแกนหลักต้องใช้เงินปริมาณที่ใกล้เคียงกันสำหรับนโยบายด้านสวัสดิการ
3. ผมฟันธงไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่า พรรคเพื่อไทยไม่สามารถที่จะทำตามนโยบายหาเสียงที่จะแจกเงินหมื่นบาทเข้าดิจิทัลลอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท
คือ ที่หาเสียงไว้ว่าจะแจกโดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม โดยจะนำเงินมาจากช่องทางตามที่แจ้งไว้กับ กกต.
เพราะดูตามข้อเท็จจริงแห่งงบประมาณแผ่นดินปี’67 จำนวน 3.35 ล้านล้านบาท ไม่เหลือช่องทางการเงินการคลังให้รัฐบาลใช้เงิน 5.6 แสนล้านบาท มาแจกจ่ายได้อย่างแน่นอน
ถ้าจะทำ ก็จะต้องกู้เพิ่ม (ซึ่งจะกระทบวินัยการเงินการคลังอย่างแน่นอน)
แต่พลพรรคเพื่อไทยก็เดินหน้าใช้นโยบายนี้หาเสียงเป็นหลัก ขยายความไปถึงว่าในครอบครัวมีกี่คน รวมจะได้เงินกี่หมื่นกี่แสนบาท กระตุ้นความอยาก ขายฝันกอบโกยคะแนนจากประชาชนที่หลงเชื่อลมปากนักการเมือง
4. ส่วนนโยบายของพรรคก้าวไกล ก็อุปโลกน์ตัวเลขรายได้ 6.5 แสนล้านบาท ขึ้นมาเป็นยาวิเศษ
โม้ว่าจะเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมาอีก 6.5 แสนล้านบาทจากภาษีคนรวย ภาษีมั่งคั่ง ลดงบกลาโหม งบทหาร ยึดคืนที่ดินกองทัพ ฯลฯ แล้วจะได้เงินส่วนนี้ไปทำสวัสดิการต่างๆ ตามที่อ้างไว้ตอนต้น
ในความเป็นจริง ต่อให้พยายามจัดเก็บรายได้ตามที่อ้างจริง (หลายอย่างรัฐบาลปัจจุบันกำลังทำอยู่แล้ว)ต่อให้เชื่อว่าได้เงินมา 6.5 แสนล้านบาทจริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เงินมาอีก 6.5 แสนล้านบาททุกปี ขณะที่สวัสดิการต่างๆ ที่หาเสียงนั้น ถ้าทำจริง จะต้องใช้งบประมาณทุกๆ ปี และเพิ่มขึ้นทุกปีด้วยตามจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
6.5 แสนล้านบาท มันจึงเป็นตัวเลขที่นำมาอ้างเพื่อ “ลวงตา” ปั่นความอยากที่ฟูฟ่องให้ดูเหมือนมีที่ยึดเหนี่ยวเท่านั้นเอง
วันนี้ ที่พยายามโทษว่าเป็นรัฐบาลผสม จึงไม่สามารถทำตามนโยบายหาเสียงได้ จึงเป็นการบิดเบือนประเด็น
ความจริง คือ เพราะรู้แล้วว่าจะไม่มีปัญญาหาเงินรายได้ 6.5 แสนล้านบาท ตามที่โม้เอาไว้
5.ยังไม่ต้องกล่าวถึงนโยบายเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร ที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลหาเสียงไว้
ล่าสุด พันเอก จิตนาถ ปุณโณทกรองโฆษกกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน
ระบุถึงการดำเนินการตามแนวทางปฏิรูปกองทัพ ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น การปรับลดกำลังพล การปรับลดนายทหารชั้นยศสูง โดยในห้วงปี 2570 ให้เหลือ 50% ตามแผนที่กำหนด
การปิดการบรรจุกำลังพลและลดกำลังพลในปี 2560-2564 ไปแล้วกว่า 8,000 นาย สามารถประหยัด งบประมาณได้ จำนวน 1,500 ล้านบาท
เมื่อถึงปี 2570 จะสามารถปรับลดกำลังพลลงได้ประมาณ 12,000 นาย และประหยัดงบกำลังพลลงได้ 2,900 ล้านบาทเศษ
ในส่วนของการเกณฑ์ทหาร ยืนยันว่า จำนวนที่ตรวจเลือกในแต่ละปี จะสอดคล้องกับโครงสร้างการจัดและภารกิจของกองทัพ โดยปัจจุบันมีความต้องการพลทหารปีละประมาณ 90,000 นาย จากเดิม ปีละ 1 แสนคน และกำลังปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้สมัครใจเข้าเป็นทหารประมาณ 35,000 นาย จำนวนใบแดงลดลงทุกปี เป็นแนวโน้วที่ดีในการเดินไปสู่การใช้ระบบการสมัครใจเข้าเป็นทหารได้ในอนาคต ฯลฯ
สอดคล้องกับที่เคยนำมาบอกเล่าไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไม่ว่าจะมีพรรคส้มหรือพรรคแดงเป็นรัฐบาลหรือไม่ กองทัพก็ดำเนินการลดจำนวนใบแดงลงทุกๆปี และราวๆ ปี 2570 ก็มีโอกาสที่ใบแดงจะเหลือ 0 ใบโดยไม่กระทบการทำหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะการดำเนินการตามนโยบายปฏิรูปกองทัพในยุครัฐบาลปัจจุบันนั่นเอง
6. น่าเวทนาที่สุด คือ การเที่ยวไปเดินสายออกสื่อ โจมตีรัฐบาลปัจจุบันว่าไม่ยอมส่งมอบงานบ้างsไม่ยอมรับความพ่ายแพ้บ้าง ไม่ยอมเก็บของออกจากทำเนียบบ้าง
คือจะให้ส่งมอบงานให้ใคร? อย่างไร?
สส.ยังไม่ได้เป็น สภายังไม่มี นายกฯยังไม่ได้เลือก รัฐบาลใหม่ก็ยังไม่เกิด ฯลฯ
ถ้ารัฐบาลปัจจุบันไม่ทำงานต่อ ก็โดน 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนรัฐบาลพ่อส้มมโนโม้แหลก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ตีกินไปเรื่อยๆ สร้างซีน เข้าฉาก โปรยเสน่ห์ ปั่นกระแส กดดัน กกต. สว. ศาลรธน. ไปวันๆ
ในโลกความจริง ทุกอย่างมีขั้นตอน มีระบบ ตามกติกา ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล
ยังไม่มีอำนาจรัฐยังส่ออาการบ้าอำนาจขนาดนี้ จะเอาตามอำเภอใจตัวเองลูกเดียว
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี