วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
.jpg)
อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต ถูกจับกุมไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในสงครามกับยาเสพติด
ทำให้เกิดคำถามว่า กรณีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่เคยดำเนินนโยบายสงครามยาเสพติดในบ้านเรา มีลักษณะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
1.อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ดูเตอร์เต ถูกจับกุมตามหมายจับศาลอาญาระหว่างประเทศ คาสนามบินฟิลิปปินส์ ก่อนส่งตัวขึ้นเครื่องบินไปกรุงเฮก (เนเธอร์แลนด์) ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ICC ศาลอาญาระหว่างประเทศ
แม้ฟิลิปปินส์จะถอนตัวออกจากศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว แต่ ICC ยืนยันว่ามีเขตอำนาจศาลอยู่ เพราะการกระทำสงครามยาเสพติดเกิดขึ้นในช่วงที่ฟิลิปปินส์ยังไม่ถอนตัว
ข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ สืบเนื่องจากการฆาตกรรมในระหว่าง “สงครามปราบปรามยาเสพติด”
ช่วงปี 2559 ถึง 2565 ประชาชนหลายพันคน ถูกตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐสังหารในนาม “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ของรัฐบาล
โรดริโก ดูเตอร์เต ประกาศหาเสียง ใช้วาทกรรมดุเดือด อาทิ “ลืมกฎหมายและสิทธิมนุษยชนไปซะ ถ้าผมได้เข้าทำเนียบประธานาธิบดี ผมจะทำแบบเดียวกับตอนที่ผมเป็นนายกเทศมนตรี เจ้าพวกที่วันๆ ไม่ทำอะไร ทำแต่ปล้นชิง ค้ายาเสพติด รีบหนีเสียดีกว่า เพราะผมจะฆ่าพวกคุณ”
“ผมพูดว่า มาฆ่าอาชญากรวันละ 5 คนกันเถอะ พวกมันจะได้ถูกกำจัดไปจนหมด”
ในสงครามกับยาเสพติดของดูเตอร์เต ตำรวจสังหารผู้ต้องสงสัยหลายพันคน อ้างว่าเป็นการยิงต่อสู้กัน
ผู้ตายจำนวนมากถูกพันธนาการทิ้งศพราวไม่ใช่มนุษย์
แต่คะแนนนิยมของดูเตอร์เตดีขึ้น เป็นการฆ่าที่ทำให้ประชาชนพึงพอใจ
ว่ากันว่า มีผู้ต้องสงสัยถูกสังหารในช่วงสงครามยาเสพติดกว่า 6 พันคน
อัยการของ ICC ระบุว่า อาจมีคนตายกว่า 30,000 ราย ที่ในสงครามยาเสพติด ในจำนวนนี้เป็นเด็กด้วย
2.สงครามยาเสพติดในยุครัฐบาลทักษิณ
สงครามยาเสพติดยุครัฐบาลทักษิณ ทำให้เกิดการฆาตกรรมผู้คนไปกว่า 2,500 คน ในช่วงเวลา 3 เดือน ก.พ.-เม.ย. 2546
ส่วนใหญ่ไม่ใช่พ่อค้ายาเสพติดแต่อย่างใด
ที่สำคัญ หลังช่วงสงครามยาเสพติด พ่อค้ายารายใหญ่ก็ยังอยู่ สะท้อนชัดเจนว่าไม่ได้ผลจริง
นโยบายยุคนั้น มีการบังคับ กดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้ต้องทำยอด ด้วยการลดรายชื่อบุคคลในบัญชีดำของทางการให้ได้
โดยนโยบายรัฐบาลทักษิณให้ถือเอายอดการเสียชีวิตของบุคคลในบัญชีดำ ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีการใดๆ เป็นหนึ่งในผลงานได้ด้วย
การขึ้นบัญชีดำของทางการในขณะนั้น มีความบกพร่องร้ายแรง
พ่อค้ายาบางรายไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ แต่คนมีชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมากกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติด
รัฐบาลทักษิณบังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องปราบปรามผู้มีรายชื่อในบัญชีดำให้ได้อย่างน้อยถึงร้อยละ 25
พูดง่ายๆ ว่า ต้องตัดยอดบัญชีดำ ทำให้ลดลงอย่างน้อย 25% ภายในเวลา 3 เดือน
กำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลในการตัดยอดคนในบัญชีดำ 3 อย่าง คือ (1) การจับกุมดำเนินคดีจนถึงขั้นอัยการส่งฟ้องศาล (2) การวิสามัญฆาตกรรม และ (3) การที่ผู้มีรายชื่อในบัญชีดำเสียชีวิต ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม
โดยนายกฯ ทักษิณใช้อำนาจ กำชับและข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
ยิ่งกว่านั้น มีการส่งสัญญาณใช้ความรุนแรงนอกระบบอย่างเต็มที่
ประกาศว่า “ถ้าล้มเหลว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดก็คงต้องไปด้วยกัน”
“ท่านต้องใช้ Iron fist หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์เคยกล่าวไว้ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้”
“การทำงานหนักของท่าน 3 เดือนถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
“บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน”
“ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่ คือถ้าไม่ไปคุกก็ไปวัด”
“ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมา ใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด” ฯลฯ
ปรากฏว่า ภายในช่วงเวลา 3 เดือน มีการ“ทำยอด” ยิงทิ้งคนที่มีชื่อในบัญชีดำ จำนวนมาก!
แม้จะสะใจคนจำนวนไม่น้อยในสังคมขณะนั้น แต่พิสูจน์ชัดแล้วว่า ไม่ได้แก้ปัญหายาเสพติดที่ต้นตอจริงๆ
เหมือนเป็นการฆ่าที่ทำให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมทางการเมือง
เอาภาพว่าเด็ดขาด โดยคนที่ถูกฆ่าไม่ใช่พ่อค้ายารายใหญ่ และไม่ได้จัดการที่ต้นทางยาเสพติดอย่างแท้จริง
3. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ?
รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระ คตน. (ชุดที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน) ระบุว่า เข้าข่ายเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ!
คตน.ชี้ชัดเจนว่า การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ และการนำนโยบายไปปฏิบัติ จนเป็นผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนพลเรือนเป็นจำนวนมากนั้น วางแผนโดยการทำบัญชีข้อมูลบุคคลและสั่งลดจำนวนบุคคลในบัญชีข้อมูลบุคคล เป็นการกระทำตามนโยบายที่รัฐวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเกิดการฆาตกรรมอย่างเป็นระบบในวงกว้าง นับเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างชัดเจน
ผู้กำหนดนโยบายดังกล่าว น่าจะเป็นผู้กระทำความผิดในความผิดฐาน “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” หรือ “Crimes against humanity” อันเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ ตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
รายงานของ คตน. ระบุว่า มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น 2,604 คดี มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2,873 คน
แยกออกเป็นคดีฆาตกรรม 2,559 คดี มีผู้เสียชีวิต 2,819 คน
ในจำนวนนี้ เป็นคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,187 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต1,370 คน
เป็นคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 834 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 878 คน
และเป็นคดีฆาตกรรมที่ไม่ทราบสาเหตุการตาย 538 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 571 คน
คตน.ระบุว่า คดีวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นทั้งสิ้น 45 คดี มีผู้เสียชีวิต 54 คน โดยในจำนวนนี้เป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 35 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 41 คน และเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้ตายไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 2 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 2 คน และเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ไม่ทราบสาเหตุการตายจำนวน 8 คดี มีผู้เสียชีวิต 11 คน
รายงานของ คตน. ระบุด้วยว่า ในกรณีคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,187 คดีนั้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 29 คดี ทราบตัวแต่จับกุมไม่ได้ 47 คดี อยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด 1,111 คดี
.jpg)
4.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในยุคนั้น ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงครามปราบปรามยาเสพติด จำนวนกว่า 299 ราย
บางราย มีชื่อในบัญชีหรือถูกกล่าวหาหรือถูกเรียกไปรายงานตัวว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งๆ ที่ไม่มีพฤติกรรม
บางราย ญาติถูกฆาตกรรม ญาติเชื่อว่าเกิดจากนโยบายปราบยาเสพติด
บางราย ถูกตำรวจยัดยาบ้าแล้วดำเนินคดี หรือถูกดำเนินคดีโดยมิชอบ ฯลฯ
บางกรณี ญาติร้องเรียนว่าคนในครอบครัวถูกเจ้าหน้าที่ฆาตกรรม มีหลักฐานว่าหลายกรณีพวกเขาไม่ได้มีอาวุธ ไม่ได้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แต่ประการใด
กสม. ตั้งขอสังเกตว่า บุคคลซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อของรัฐนั้น ส่วนใหญ่มาจากการประชุมประชาคมหมู่บ้าน จึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความขัดแย้งกันมาก่อน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องการเมืองท้องถิ่น กลั่นแกล้งกันได้ ส่วนใหญ่คนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อยังประกอบด้วยบุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (โดยเฉพาะชาวเขา) บุคคลที่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด บุคคลที่มีฐานะไม่ค่อยดีแต่กลับมีเงินทุนในการประกอบกิจการ บุคคลที่เคยร้องเรียนหรือมีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และบุคคลที่เป็นฐานเสียงหรือหัวคะแนนพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลในขณะนั้น หรืออาจมีญาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แล้วถูกเหมารวมว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย
5.อย่างไรก็ตาม ไม่มีการดำเนินคดีอะไรกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยมิได้ลงนามเข้าร่วม ICC
ประการสำคัญกว่านั้น คือ ในยุคนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ มีความสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีสหรัฐในยุคนั้น เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายเรื่องในสมัยรัฐบาลทักษิณ อาทิ ตากใบ ฯลฯ แต่สหรัฐก็เหมือนมองไม่เห็น รวมถึง ICC ที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกา
และไทยก็ไม่ได้เข้าร่วม ICC
6.การเมืองในฟิลิปปินส์ และการเมืองระหว่างประเทศ
อดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เต นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ช่วงปี 2016-2022
จากนั้น ดูเตอร์เตยังสนับสนุนตระกูล “มาร์กอส”ให้มีอำนาจ
โดยเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ เป็นประธานาธิบดี และ ซารา ดูเตอร์เต เป็นรองประธานาธิบดี
ซารามีแผนจะลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในอนาคตด้วยซ้ำ
แต่เมื่อซาราพลาดเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม และประการสำคัญ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หันไปฟื้นสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯ และแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน เกิดความตึงเครียดระหว่างดูเตอร์เตกับประธานาธิบดีจากตระกูลมาร์กอส
การจับกุม “ดูเตอร์เต” จึงมีนัยทางการเมืองภายในประเทศด้วย
7.ปัจจุบัน ประเทศไทย นายกรัฐมนตรี คือ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร
และประเทศไทยไม่ได้ลงนามเข้าร่วม ICC
ด้วยเหตุนี้ ทักษิณ ชินวัตร จึงยังลอยนวล ไม่ต้องถูกดำเนินคดีข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ชะตากรรมของดูเตอร์เต จึงแตกต่างจาก “สทร.” อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
สันติสุข มะโรงศรี

วงในเมาท์ฉ่ำ! นางเอกดังมากซุ่มคืนดีแฟนเก่า
ต้นทางขัดแย้ง!‘ชัยวุฒิ’ถามจุกๆแคนดิเดตนายกฯ‘พท.’จาก‘ตระกูลชินวัตร’ จะแก้ปัญหาชายแดนได้อย่างไร
‘สนามบินเชียงใหม่’เพิ่มมาตรการคุมเข้ม รับผู้โดยสารเฉลี่ยวันละกว่า 34,000 คนช่วงปีใหม่
ย้อนดูคลิปปฏิบัติการยึดคืน'ช่องอานม้า' ก่อนปักธงชาติเหนือแผ่นดินไทย
ใครกันนะ! 'เท่ห์ อุเทน'โพสต์สะดุ้ง 'มือไม่พายเอาคางรางน้ำ'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี