เมื่อสื่อถาม “นายรังสิมันต์ โรม” โฆษกพรรคก้าวไกลกรณี ครม. พรรคเพื่อไทย มีชื่อ “นายพิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเคยโดนคดีขนเงิน 2 ล้านใส่ถุงขนม นายรังสิมันต์กล่าวว่า ก็คล้ายกับที่ตนเคยพูดไว้ว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นที่รัฐบาลนี้จะต้องตอบคำถามต่อสังคม
“อย่าให้การตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องการตอบแทนบุญคุณ อย่าเอาผลประโยชน์ของประชาชนไปเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนบุญคุณของเครือข่ายของตัวเอง ผมคิดว่าทำแบบนั้นไปผู้ที่ต้องจ่ายบุญคุณไม่ใช่เขา แต่สุดท้ายคือประชาชน” นายรังสิมันต์ กล่าว
พึงทราบว่า “พิชิต ชื่นบาน” เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมทนายความให้กับนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้คดีที่ดินรัชดาช่วงปี 2551 ก่อนตกเป็นข่าวอื้อฉาวหิ้วถุงขนมใส่เงินสดสองล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาลฯ ซึ่งถือเป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาล ถูกตัดสินจำคุก6 เดือน ไม่รอลงอาญา และถูกสภาทนายความลงโทษลบชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบการวิชาชีพทนาย ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความไม่ได้เป็นเวลา 5 ปี
การแต่งตั้งนายพิชิต ทำให้เกิดคำถามว่า จะมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติหรือไม่ โดยเฉพาะ รธน.มาตรา 160 (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์, (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและ (7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
ค้นพฤติกรรมในคดีดังกล่าวของ “นายพิชิต”จะพบคำพิพากษาฉบับเต็มของศาลฎีกา ให้รายละเอียดตอนหนึ่งว่า
นายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกา ได้ทำบันทึกลงวันที่ 10 มิถุยายน 2551 รายงานต่อนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 09.30 นาฬิกา พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จะมารายงานตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายอนันต์ ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่แผนกดังกล่าว เมื่อนายอนันต์ เข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่ ได้มีเจ้าหน้าที่ถือถุงกระดาษ ซึ่งมีสกอตเทปปิดไว้มิดชิด มาถามว่า ทนายความของ พันตำรวจโททักษิณให้มา จะรับไว้ได้หรือไม่ นายอนันต์ จึงสั่งให้เปิดถุงกระดาษออกดูที่โต๊ะของนางพรทิพย์ ศรีนวล หัวหน้าแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาพบว่าเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้ง ดูคร่าวๆเห็นตั้งละ 10 มัด จำนวนเงินทั้งหมดน่าจะประมาณ 2,000,000 บาทนายอนันต์ จึงสั่งให้คืนแก่เจ้าของไป
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้ความว่า ก่อนที่พันตำรวจโททักษิณ จะเดินทางมาถึงแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา มีคณะทนายความของพันตำรวจโททักษิณ มาเตรียมคดี และเสมียนทนายได้มาพบ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ชมพูนุช เจ้าหน้าที่ในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา แจ้งว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความต้องการพบ เมื่อ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบ ได้มีนายธนา ตันศิริซึ่งเป็นผู้ติดตามคณะทนายความ ส่งถุงกระดาษให้และพูดว่า เจ้าหน้าที่เหนื่อย จึงซื้อของมาฝากให้ไปแบ่งกัน หม่อมหลวงฐิติพงศ์ จึงจะไปถามนายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาว่า จะรับไว้ได้หรือไม่ แต่นายรักเกียรติ ไปสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ กลับมาที่ห้องทำงาน ได้พบกับนายอนันต์ ซึ่งตรวจงานอยู่ จึงให้เจ้าหน้าที่ถามนายอนันต์ว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร นายอนันต์ ได้สั่งให้คืนแก่เจ้าของไป
นายอนันต์ เห็นว่า การที่นายธนา นำถุงกระดาษบรรจุเงินมามอบให้เจ้าหน้าที่แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา น่าจะเป็นการไม่ชอบ อาจเป็นการละเมิดอำนาจศาลและเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน ประธานศาลฎีกาจึงแต่งตั้งองค์คณะไต่สวนคดีนี้ และให้ดำเนินการโดยเร็ว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางไต่สวนได้ความจากนายอนันต์ว่า เมื่อวันนที่ 10 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา นายพิชิต หรือพิชิฏ ชื่นบาน นางสาวศุภศรีศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ ขึ้นลิฟต์มาที่แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ซึ่งอยู่ชั้น 4 ด้วยกัน ขณะที่ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกร 5 แผนกคดีอาญาของผู้ดำรตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา กำลังทำงานอยู่ที่ห้องทำงานในแผนก น.ส.ศุภศรี ซึ่งเป็นเสมียนทนายของนายพิชิตได้นำคำร้องขอรายงานตัวของ พันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมาน มายื่นต่อศาล เนื่องจากพันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมาน จะต้องมารายงานตัวหลังจากเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
หลังจากหม่อมหลวงฐิติพงศ์ พูดคุยกับ น.ส.ศุภศรี เกี่ยวกับวันนัดในคดีดังกล่าวแล้ว น.ส.ศุภศรี บอกหม่อมหลวงฐิติพงศ์ว่า นายธนา อยากจะขอปรึกษาเรื่องคดีด้วย
ขณะที่นายธนาเดินเข้าไปในห้องดังกล่าว หม่อมหลวงฐิติพงศ์ เดินตามเข้าไปนั่งที่โต๊ะตรงข้ามกัน โดยในห้องมีเพียงนายธนากับหม่อมหลวงฐิติพงศ์เท่านั้น นายธนาพูดขึ้นว่า ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยก็เลยมีของมาฝากให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน แล้วนายธนาก็เดินไปหยิบถุงกระดาษสีขาว ซึ่งวางอยู่ตรงตู้ข้างโต๊ะในห้อง ถุงดังกล่าวมีสกอตเทปปิดปากถุงตามยาวเกือบตลอดปากถุง หม่อมหลวงฐิติพงศ์ จึงหยิบถุงดังกล่าวเดินออกไปจากห้อง เพื่อไปถามนายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่โดยหม่อมหลวงฐิติพงศ์ เข้าใจว่าเป็นขนม แต่นายรักเกียรติไม่อยู่ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ จึงมอบถุงดังกล่าวให้นางขวัญชีวาแจ่มจิตรตรง นิติกร 4 ซึ่งยืนอยู่หน้าห้องนายรักเกียรติไปถามนายอนันต์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในห้องธุรการของแผนกว่าจะรับไว้ได้หรือไม่
นางขวัญชีวา เห็นนายพิชิตพูดคุยกับนายอดิเทพ ถิระวัฒน์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ ไม่กล้ารบกวน จึงถือถุงกระดาษเดินผ่านไป แล้วนำถุงไปวางไว้ที่โต๊ะของนางพรทิพย์ ศรีนวล หัวหน้าแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา แล้วบอกนางพรทิพย์ว่า ทนายความให้เจ้าหน้าที่มาแบ่งกันนางขวัญชีวา ไม่ทราบว่าเป็นอะไร นางพรทิพย์บอกไม่ให้รับ และให้นางขวัญชีวา ไปถามนายอนันต์ว่า จะรับไว้ได้หรือไม่ นายอนันต์บอกให้เปิดดู หม่อมหลวงฐิติพงศ์ จึงหยิบคัตเตอร์มากรีดสกอตเทปที่ปิดปากถุงออก พบซองสีน้ำตาลปิดอยู่ เมื่อดึงออกเห็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้ง ตั้งละ 10 มัด มัดละ 100 ฉบับ เป็นเงินประมาณ 2,000,000 บาท
หม่อมหลวงฐิติพงศ์ หิ้วถุงไปให้นายอนันต์ นายอนันต์สั่งให้หม่อมหลวงฐิติพงศ์ไปเรียกนายธนามารับคืนไป โดยได้มีการถ่ายภาพถุงและธนบัตรทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน หม่อมหลวงฐิติพงศ์ จึงบอก น.ส.ศุภศรี ให้ไปเรียกนายธนามาพบซึ่งขณะนั้นนายธนาลงไปรอรับพันตำรวจโททักษิณ อยู่ชั้นล่าง ต่อมานายธนามารับถุงเงินคืนไปจากนายอำนาจ วงศ์สวรรค์ นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ก่อนคืนถุงเงินนายอำนาจถามนายธนาว่า ทราบหรือไม่ว่าในถุงเป็นอะไร นายธนาตอบว่าทราบ นายอำนาจบอกว่า เรารับไม่ได้ พร้อมกับส่งถุงเงินคืนไป นายธนารับถุงเงินแล้วก็เดินจากไป
ต่อมานายทวีแก้ตัวว่า ในวันที่ 9 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ นำเงินค่าซื้อบ้านของนายทวีบางส่วนมาชำระตามสำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย ในตอนเช้าของวันเกิดเหตุ นายทวีไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาตามปกติเนื่องจากเป็นวันที่พันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมานต้องมารายงานตัวหลังจากกลับจากต่างประเทศ นายทวีให้ภริยาเตรียมของฝากไปให้เจ้าหน้าที่ด้วย เนื่องจากประสานงานกันได้ราบรื่นไม่มีข้อติดขัด
ภริยาของนายทวีซื้อช็อกโกแลตใส่ถุงเตรียมไว้ให้ แล้วนำไปวางไว้ในรถบริเวณที่นายทวีนั่ง ส่วนนายทวีนำถุงกระดาษใส่เงินจำนวน 2,000,000 บาท ไปใส่ไว้ท้ายรถเพื่อจะนำไปฝากธนาคาร เมื่อนายทวีไปถึงศาลฎีกา ได้พบกับนายพิชิต จึงพากันไปเดินดูความเรียบร้อยและให้คนขับรถไปหยิบถุงที่เบาะหลังรถตามขึ้นไปให้ที่ชั้น 4 ปรากฏว่า คนขับรถหยิบถุงผิด
แต่ศาลพิเคราะห์ว่า การที่นายทวี พูดเป็นนัยว่า มีของมาฝากเจ้าหน้าที่ทุกคน โดยไม่บอกว่า เป็นขนมหรือช็อกโกแลตก็ดี
และการมอบถุงกระดาษที่ปกปิดมิดชิดจนไม่สามารถทราบว่า สิ่งของข้างในเป็นอะไรก็ดี จึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย เพราะหากต้องการมอบขนมหรือช็อกโกแลตให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการแสดงความมีน้ำใจจริง ก็ย่อมต้องนำถุงขนมหรือช็อกโกแลตที่อ้างไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ห้องธุรการทั้งหมดโดยตรงและโดยเปิดเผย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน
เมื่อมารับถุงกลับ ถูกถามว่ารู้ไหมข้างในเป็นอะไร ก็ตอบว่ารู้ จากนั้นรับถุงแล้วก็เดินจากไป โดยไม่ได้พูดอะไรเมื่อกลับไปที่รถ และทราบว่าคนขับรถหยิบถุงผิด น่าจะต้องกล่าวคำขอโทษในทันที และน่าจะต้องสั่งให้พันตำรวจโทวทัญญู เอาถุงกระดาษที่บรรจุช็อกโกแลตกลับขึ้นมา เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ศาล เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
หากนายทวี มีถุงกระดาษที่มีลักษณะเหมือนกัน 2 ถุง โดยถุงหนึ่งบรรจุเงินประมาณ 2,000,000 บาท และอีกถุงหนึ่งบรรจุช็อกโกแลตจริง นายทวียิ่งต้องใช้ความระมัดระวังตรวจดูเป็นพิเศษว่าปกติธรรมดา ก่อนส่งมอบถุงให้แก่หม่อมหลวงฐิติพงศ์ แต่ก็หาได้กระทำไม่ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า นายทวีรู้อยู่แล้วว่า ถุงกระดาษที่มอบให้แก่หม่อมหลวงฐิติพงศ์ มีธนบัตรจำนวนประมาณ 2,000,000 บาท บรรจุอยู่
ในส่วนของนายพิชิต ชื่นบาน นั้น ศาลระบุว่า สิ่งที่นายทวีทำเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบกระเทือนต่อวิชาชีพของนายพิชิต แทนที่นายพิชิตจะซักไซ้ไล่เลียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน แล้วดำเนินการแก้ไข นำสิ่งของที่ถูกต้องมามอบให้ หรือนำถุงทั้งสองใบไปแสดงในทันที หรือตำหนินายทวีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแต่นายพิชิตก็หาได้กระทำไม่ กลับโทรศัพท์ไปขอโทษและปรับความเข้าใจกับหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ตามที่นายทวีร้องขอ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
พฤติการณ์ของนายพิชิตแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของนายทวี ในลักษณะเป็นตัวการร่วมกัน ส่วน น.ส.ศุภศรี แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเพียงเสมียนทนาย แต่ก็เป็นทนายความในสำนักงานของนายพิชิตมาก่อน ทั้งยังเป็นผู้ประสานงานให้หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบกับนายทวี และเมื่อนายอนันต์สั่งให้คืนถุงบรรจุเงินให้แก่นายทวี น.ส.ศุภศรีก็ยังไปเรียกนายทวีมารับถุงคืน นอกจากนี้ น.ส.ศุภศรี ยังรออยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์แผนกรับฟ้องและห้องพักทนายความที่เกิดเหตุตลอดเวลา ลักษณะของการกระทำดังกล่าวถือได้ว่า น.ส.ศุภศรี มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของนายทวี พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามดังกล่าว จึงเป็นการร่วมกันและแบ่งหน้าที่กันทำ ฟังได้ว่าเป็นตัวการร่วมกัน”
จึงเห็นด้วยกับ “การตีความ” ของ รังสิมันต์ โรม ว่าการจะตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี อาจเป็นเรื่อง “การตอบแทน”
แต่ก่อนจะตอบแทน พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมทุกพรรค “ต้องตอบ” เรื่องนี้กับสังคมให้ได้ ว่าจะยอมให้เกิดขึ้นจริงๆ หรือ?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี