จากกรณีที่คณะกรรมการแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่ห้องวีไอพี ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยเป็นการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย เนื่องจากให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า นายทักษิณป่วยขั้นวิกฤต และว่ากล่าวตักเตือน 1 ราย เนื่องจากออกใบส่งตัวไม่ถูกต้อง
ล่าสุด เมื่อเวลา 23.08 น. วันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ทนายวันชัย สอนศิริ” แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ว่า “ต้องวิกฤตหรือไม่ จึงไปชั้น 14”
“สังคมแห่งความชิงชังทำให้คนในสังคมป่วย สังคมที่ไร้ความเมตตาก็เป็นสังคมที่วิกฤต เรื่องของคุณทักษิณชั้น 14ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมั่วซั่ว จับแพะชนแกะ จากกรณีที่แพทยสภาลงโทษแพทย์เรื่องผิดจริยธรรม แล้วเอามาโยงกับเรื่องการป่วยของคุณทักษิณและอำนาจราชทัณฑ์ ทั้่งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลย มันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น พอแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์เท่านั้น ก็เอามาตีโพยตีพายกันใหญ่ว่า คุณทักษิณไม่ได้ป่วยจริง จะต้องกลับไปติดคุก จะต้องหนี จะต้องยุบสภา สารพัดที่จะกล่าวหากันร้อยแปด
“ทั้งที่ข้อกฎหมายเรื่องอำนาจราชทัณฑ์ ไม่มีข้อใดเลยที่กำหนดว่า จะต้องเป็นผู้ป่วยวิกฤตเท่านั้นจึงจะเอาไปรักษาตัวข้างนอกได้ มีแต่กำหนดไว้ว่า กรณีที่จะต้องบำบัดรักษาเฉพาะด้านเฉพาะทางเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้มีผู้ต้องขังรายใด ป่วยถึงขั้นวิกฤต หากเริ่มป่วยก็ให้รักษาในเรือนจำ แต่หากต้องการรักษาเฉพาะทางเฉพาะด้านที่ในเรือนจำรักษาไม่ได้ ก็ให้ไปรักษาที่อื่น ไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะต้องป่วยวิกฤตหรือไม่ อย่างกรณีของคุณทักษิณ ไม่ต้องดูหรอกว่าป่วยถึงขั้นวิกฤต ดูแต่เพียงว่าต้องการรักษาตัวเฉพาะด้านเฉพาะทางที่เรือนจำรักษาไม่ได้ก็เพียงพอแล้ว”
แพทยสภาก็ว่าเรื่องของแพทย์ไป ราชทัณฑ์เขาก็ว่าเรื่องของราชทัณฑ์ไป ไม่เกี่ยวกัน ส่วนพวกสังคมแห่งความชิงชัง ก็ใส่สีตีไข่ โยงกันไปโยงกันมา โดยไม่ได้ดูจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เอาอารมณ์และความรู้สึกเป็นที่ตั้ง
“สังคมแห่งความชิงชังนี้โคตรจะแปลกประหลาด ทีข้าราชการผู้ใหญ่ที่เกษียณมาแล้วเยอะแยะมากมาย ยังเห็นมีคนมียศมีตำแหน่งรับใช้กันอยู่เต็มบ้านจนแก่จนตายก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร แต่แค่คุณทักษิณ อดีตนายกฯ อายุ 75 ปี ป่วยมารักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 จะเอากันเป็นกันตายถึงขั้นวิกฤต”
1) หลายคนส่งข้อความตามข่าวข้างต้นมาสอบถามความเห็นของผมกันยกใหญ่ ส่วนมากคงอยากทราบความเห็นต่อตัว อ.วันชัย มากกว่า “ประเด็นกฎหมาย”
2) ผมไม่ใช่นักกฎหมาย และไม่ใช่ญาติข้างไหนของ อ.วันชัย จึงไม่จำเป็นต้องอวยแกหรือด่าแก แต่สนใจเรื่อง “ประเด็นข้อกฎหมาย” มากกว่า
3) ในการส่งตัวนักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร ออกไปนอนที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน สิ่งที่สังคมต้องได้คำตอบ คือ ส่งไปด้วยข้อกฎหมายใด ซึ่งมีความเห็นแย้งกันอยู่ ระหว่าง ป.วิอาญา มาตรา 246 กับ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55
4) ย้อนดูข่าวเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2566 นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ว่า เมื่อเวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 ส.ค.2566 พัศดีเวรได้รายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แดน 7 อยู่ระหว่างการกักโรค มีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอก วัดความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ
จากนั้น พยาบาลเวรเรือนจำ ได้ติดต่อขอคำแนะนำกับแพทย์ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์ได้สอบถามอาการโดยละเอียดแล้ว ตลอดจนพิจารณาจากรายงานประวัติการรักษาของผู้ป่วยโดยแพทย์จากโรงพยาบาลต่างประเทศ (สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) พบมีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตามอาการ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง พังผืดในปอด กระดูกสันหลังเสื่อม
โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ โรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ แพทย์จึงมีความเห็นว่า
เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิต เห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อชีวิต จะมีการส่งตัวรักษาให้ทันท่วงที
หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งได้รับตัวไว้เพื่อทำการบำบัดรักษาเมื่อเวลา 00.20 น. ของวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยเรือนจำได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุม ตามระเบียบขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์
5) ถ้าดูจากถ้อยแถลงของนายสิทธิ นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจด้วยอาการ “วิกฤต” ครับ โดยอ้างถึง “โรคหัวใจ” และหนักถึงขั้น “โรงพยาบาลราชทัณฑ์” ดูแลไม่ได้ ต้องส่งไปโรงพยาบาลตำรวจ เป็นไปตาม ป.วิอาญา มาตร 246 (2) (2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแต่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
6) แต่ อ.แก้วสรร อติโพธิ ตั้งข้อสังเกตล่าสุดว่า ป.วิอาญา ม.246 ใช้คำว่า “จำเลย” กล่าวคือ “เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไปในกรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อจำเลยวิกลจริต (2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแต่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้น ศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควร นอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง
ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา
7) อ.แก้วสรร กล่าวว่า “มาวันนี้ผมว่า ความเห็นล่าสุดนี้น่าจะถูกต้อง คือ เขาชี้ว่า ม. 246 วิ.อาญา เป็นเรื่องศาลสั่งก่อนเข้าคุก เนื่องจากพบว่า จำเลยวิกลจริต ตั้งครรภ์หรือเป็นแม่ลูกอ่อนต้องให้นมลูก หรือป่วยหนัก นอนไอซียู ตรงนี้ต้องให้ศาลสั่งทุเลาการบังคับคดี แต่ถ้าติดคุกไปแล้วถึงพบว่าป่วย ต้องส่งโรงพยาบาล ตรงนั้นถึงจะเป็นอำนาจราชทัณฑ์ตามมาตรา 55 ที่ไม่ต้องขอศาล
โดยตัวอักษร ตัวบทมาตรา 246 เรียกผู้ป่วยว่า “จำเลย” ไม่ใช่ “ผู้ต้องขัง” โดยความสมเหตุผลนั้น ก็ถูกต้องแล้วว่า เมื่อยังไม่ขังก็ต้องไม่นับเวลาคุมขัง การตีความไม่ใช้ ม. 246 จึงไปได้สวยมาก แล้วยิ่งพิจารณาถึงผลปฏิบัติว่าถ้าเราให้ศาลต้องอนุมัติการรักษาตัวนอกโรงพยาบาลของผู้ต้องขังทุกกรณีแล้ว ผลปฏิบัติจะโกลาหลมาก เฉพาะงานพิจารณาคดีทุกวันนี้ ศาลก็ไม่มีเวลาอยู่แล้ว
เมื่อครบถ้วนทั้งความตามตัวอักษร เจตนารมณ์ และผลปฏิบัติที่รับได้เช่นนี้ ผมจึงยอมรับครับว่า คดีชั้น 14 ต้องใช้ มาตรา 55 ใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ศาลจึงต้องไต่สวนว่า ทักษิณป่วยต้องนอนโรงพยาบาลจริงหรือไม่
8) มาตรา 55 ระบุว่า “ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อให้ผู้บัญชาการเรือนจําดําเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบําบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจําจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบําบัดรักษาสําหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะโรงพยาบาลหรือสถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจําต่อไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอํานาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา”
9) ประเด็นจึงต้องพิจารณาว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ “ป่วย” จริงหรือไม่ ผลสอบของคณะกรรมการแพทยสภาระบุ 2 ประเด็นที่สำคัญว่า “มีการเขียนใบส่งตัวล่วงหน้า” กับ “ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤตเกิดขึ้น” ประเด็นจึงอยู่ที่ต้องป่วยแค่ไหนจึงจะนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ ต้องส่งโรงพยาบาลไหน และต้องอยู่โรงพยาบาลนานเท่าไร
10) จากรูปการณ์ที่พบตามข่าว ราชทัณฑ์อ้างว่าทักษิณป่วย แต่อาการที่ป่วย คือ “นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก วัดความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ” อาการเช่นนี้ โรงพยาบาลราชทัณฑ์รับมือได้แน่นอน ส่วนข้อกังวลเรื่อง “โรคหัวใจ” เป็นแค่ “ข้อกังวล” ไม่มีการตรวจโดยแพทย์ ยังไม่มีอาการบ่งชี้ ก็ทึกทักนำส่งข้ามขั้นตอนโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลตำรวจแล้ว แถมมีการเขียนใบส่งตัวล่วงหน้าด้วย มันคืออะไร โปร่งใส? หรือทุจริต
11) จึงไม่ใช่เรื่องว่า “สังคมไร้เมตตา” หรือ “ชิงชังคุณทักษิณ” อย่างที่ อ.วันชัย ห่วงแสนห่วง แต่เป็นเรื่องความจริงหรือความเท็จ ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ถูกต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับนักโทษรายอื่นๆ หรือเป็นอภิสิทธิ์ชน ประเด็นที่ต้องพิสูจน์มันมีกันแค่นี้
12) สุจริตชน ย่อมไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ ป่วยจริง ถูกต้องตามขั้นตอนจริง 180 วัน ป่วยจนกลับเข้าคุกไม่ได้ หรือมาอยู่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่ได้ เพราะสาเหตุใด ชี้แจง แถลงมา ถ้ามันพิสูจน์ได้ก็จบ สังคมก็พร้อมจะเข้าใจ และสิ้นความคลางแคลงใจ
“ถ้ากูเป็นอาจารย์วันชัย ซึ่งหมายถึงว่า กูเป็นนักฎหมาย กูจะไม่มาเสียเวลาวินิจฉัยสังคมหรอก กูจะวินิจฉัยข้อกฎหมายให้สังคมกระจ่าง” ข้าพเจ้ากล่าวกับเพื่อน และสำทับว่า
“วันใดก็ตาม ที่กูหลีกเลี่ยง ที่จะวินิจฉัยในสิ่งที่เป็นภูมิรู้ของกู และทำท่าเหมือนกำลังเลียใครบางคน มึงช่วยเอาตีนสะกิดกูให้ได้สติด้วยนะ อย่าให้ลูกหลานกูต้องอยู่อย่างอัปยศ ที่กูกลายร่างจากคนที่มีภูมิรู้ไปเป็นหมาตัวหนึ่งที่เลียคนหวังผลตอบแทนเลย”
เพื่อนบอกว่า “กูจะถีบมึงเลยแหละ” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี