มหากาพย์ค่าโง่โฮปเวลล์ ยังไม่จบ
ล่าสุด ฝ่ายรัฐชนะคดี แต่ยังต้องลุ้นต่อ เพราะเอกชนคงจะสู้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดต่อไป
ที่ผ่านมา คดีโฮปเวลล์นี้เอง รัฐเคยชนะชั้นต้น แต่พลิกแพ้ในศาลปกครองสูงสุดมาแล้ว
1. เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางพิพากษา คดีโฮปเวลล์หมายเลขดำที่ 107/2552, 2038/2551, 1379/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 366-368/2557
คำพิพากษารวมๆ คือ เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตฯที่ให้จ่ายเงินแก่เอกชน 2.7 หมื่นล้านบาท
พูดง่ายๆ ว่า รัฐไม่ต้องจ่ายแล้ว
2. ศาลปกครองกลางชี้ขาดอะไรบ้าง?
คดีนี้ กระทรวงคมนาคม ผู้ร้องที่ 1 การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ผู้ร้องที่ 2 กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้คัดค้านคดี
ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ “เพิกถอน” คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย.2551 ทั้งหมด และ “เพิกถอน” คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 44/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 ลงวันที่ 15 ต.ค.2551 ทั้งหมด
และมีคำสั่ง “ปฏิเสธไม่รับบังคับ” ตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาท
หมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย.2551
กับให้คำสั่งศาลที่ให้ “งด” การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 ไว้ในระหว่างพิจารณาคดีใหม่ มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น อันนี้คือรัฐยังไม่ต้องจ่ายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
3. ประเด็นที่ทำให้รัฐชนะคดี?
ศาลฯพิเคราะห์ว่า การที่ผู้คัดค้าน (บริษัท โฮปเวลล์ฯ) ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2541 จึงมีสิทธิที่จะเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 30 ม.ค.2546
แต่ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2547
จึงพ้นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไป 1 ปี 9 เดือนเศษ
สิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านจึงขาดอายุความตามกฎหมาย
4. รายละเอียดปมสำคัญที่ศาลวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของ “ศาลปกครองกลาง” สาระสำคัญน่าสนใจ เพราะจะยังมีการต่อสู้คดีต่อไปอีกอย่างแน่นอน
ในส่วนคำโต้แย้งของเอกชน ศาลปกครองได้วินิจฉัยไว้ สาระสำคัญ บางส่วน อาทิ
4.1 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี มิได้นำมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2545 มาอ้างอิงในการพิจารณาตัดสินคดีนี้ แต่ศาลปกครองสูงสุดได้ใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัย และตีความข้อกฎหมายในเรื่องอายุความการฟ้องคดีไว้อย่างชัดเจน นั้น
เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวที่วินิจฉัยเรื่องการนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครองกรณีข้อพิพาท เกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการนั้น มีความสอดคล้องและเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2545 เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาฟ้องคดี ซึ่งตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 81-83/2565 ประชุมใหญ่ ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า
แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงมติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวโดยตรง แต่ก็เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามที่กำหนดในมติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้อความที่เขียนอยู่ในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวนั้น ก็คือข้อความตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2545 นั่นเอง
แม้มิได้อ้างถึงขนาดว่า เป็นมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งที่เท่าใด ประชุมเมื่อวันที่ เดือน ปี หรือเวลาใด แต่การอ้างข้อความเช่นว่านั้น ย่อมต้องถือว่าเป็นการอ้างมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาคดีแล้ว
ข้ออ้างของผู้คัดค้านในข้อนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้
4.2 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เท่านั้น
เห็นว่า ปัญหาว่าผู้ร้องทั้งสองบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อสัญญาหรือไม่มิใช่ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ ซึ่งมีว่าผู้คัดค้านยื่นเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้วหรือไม่ และเมื่อเริ่มคำนวณนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.2541 ซึ่งเป็นวันที่ผู้คัดค้านรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 30 ม.ค.2546 ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วจึงไม่อาจเริ่มนับระยะเวลาในวันที่ 23 มิ.ย.2543 ที่ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งผู้คัดค้านถือว่าสัญญาสัมปทานพิพาทได้เลิกกันโดยปริยายในวันดังกล่าวเป็นวันเริ่มนับกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีดังที่ผู้คัดด้านกล่าวอ้าง ข้ออ้างของผู้คัดค้าน จึงไม่อาจรับฟังได้
ส่วนในเรื่องการฟ้องคดีที่จะใช้สิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินได้ตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องเป็นกรณีที่ทรัพย์ที่จะติดตามเอาคืนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน แต่ถูกบุคคลอื่นยึดถือครอบครองไว้โดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
แต่สำหรับคดีนี้เป็นการยื่นคำร้องต่อศาล เป็นคดีที่มีประเด็นพิพาทระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับผู้คัดค้าน โดยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเรื่องการนับระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานอันเป็นสัญญาทางปกครองต่อคณะอนุญาโตตุลาการ หาใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ถูกบุคคลอื่นยึดถือครอบครองไว้โดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้ออ้างของผู้คัดค้านในข้อนี้จึงไม่อาจรับฟังได้เช่นกัน
4.3 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า การยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสอง เพื่อเปลี่ยนแปลงดุลพินิจขององค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 188 วรรคสอง บัญญัติว่า ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง
และมาตรา 211 วรรคสี่ บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว มิได้เป็นการห้ามมิให้ผู้ร้องทั้งสอง (กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท.) ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2564 มาใช้เป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
และในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ย่อมต้องพิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดี แล้วใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่างๆ เหล่านั้น เพื่อปรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเข้ากับข้อกฎหมายและตีความปัญหาข้อกฎหมายอันนำมาสู่การพิพากษาคดี
แม้ในที่สุดผลของคดีอาจแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจขององค์คณะตุลาการศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดี ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมตามที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติให้การรับรองและคุ้มครองไว้ อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของศาลต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าว
การยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองและการพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของศาล จึงมิได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง ข้ออ้างของผู้คัดค้าน จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังได้
4.4 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า การนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2564 มาเป็นเหตุยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองขัดกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคสาม นั้น
เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 212 วรรคสาม บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญา...เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว มีความหมายว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าบทบัญญัติใดของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว ซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายนั้น เป็นคำพิพากษาที่ใช้บังคับมิได้หรือต้องสิ้นผลบังคับผูกพันลงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว มิได้มีผลเป็นการห้ามมิให้คู่กรณีในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาใช้เป็นข้ออ้าง
ในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามนัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 81-83/2565 ประชุมใหญ่
การที่ผู้ร้องทั้งสอง (กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท.) ยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ลงวันที่ 14 มิ.ย.2564 และลงวันที่ 16 มิ.ย.2564 ย่อมสามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว มิได้เป็นการต้องห้าม
ทั้งนี้ เพราะบทบัญญัติมาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญข้างต้น ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามไม่ให้ผู้ร้องทั้งสองขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ จึงมิใช่เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง ข้ออ้างของผู้คัดค้านในข้อนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้
ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้รัฐพลิกกับมาชนะคดีในการร้องขอพิจารณาคดีใหม่รอบนี้ได้ คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
กราบขอบพระคุณศาลรัฐธรรมนูญ และฝ่ายบริหารในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งยืนหยัดมั่นคง ปักหลักต่อสู้ในเรื่องนี้
แต่สงครามยังไม่จบ
มหากาพย์คดีโฮปเวลล์ยังไม่สิ้นสุด
สังคมต้องช่วยกันติดตามตอนต่อไป ในชั้นศาลปกครองสูงสุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี