วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
องค์ธรรมห้าประการที่เกิดขึ้นหลังจากกายสังขารสงบรำงับแล้ว ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตารมณ์นั้น มีศัพท์เทคนิคที่เรียกรวมกันว่าองค์ฌานทั้งห้า ซึ่งหมายถึงองค์ประกอบแห่งรูปฌานทั้งห้า ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติกรรมฐาน ที่เมื่อมีมรรคแล้วก็ย่อมมีผลเป็นธรรมดา
ในพลันที่กายสังขารสงบรำงับลงในการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นที่สี่ องค์ฌานทั้งห้าก็จะก่อตัวขึ้นและเมื่อมีความสงบ จิตมีความตั้งมั่น มีความบริสุทธิ์ และมีกำลัง ก็จะสามารถกำหนดรู้สิ่งที่กระทบต่อจิตได้ หรือนัยหนึ่งก็คือสิ่งที่ปรุงแต่งจิตอยู่ว่าเป็นอย่างไร
เอกัคคตารมณ์ วิตก และวิจาร เป็นการทำหน้าที่ของจิต ไม่ใช่อารมณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกระทบกับจิต แต่มีสิ่งที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และส่งผลกระทบแก่จิตโดยตรง เป็นแต่ว่าในระยะก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏตัวให้เห็นชัดเจน จนกว่ากายสังขารสงบรำงับแล้ว ก็จะปรากฏตัวให้เห็น ซึ่งมีอยู่สองตัว คือปีติและสุข
ปีติและสุขเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้มีความตื่นเต้น เบิกบาน ร่าเริงอย่างหนึ่ง ให้มีความซาบซ่านเย็นซ่าอีกอย่างหนึ่ง อาการอย่างแรกนั้นเรียกว่าปีติอาการอย่างหลังเรียกว่าสุข แม้มีอยู่สองอาการดำรงอยู่พร้อมกัน แต่เป็นธรรมชาติว่าสิ่งที่กระเพื่อมมากกว่า สั่นไหวมากกว่า หรือหยาบกว่าจะเห็นได้ง่ายสัมผัสได้ง่าย และกระทบชัดเจนกว่า
ดังนั้น องค์ธรรมที่ปรุงแต่งจิตคือปีติและสุข แม้มีอยู่พร้อมกัน แต่ตัวที่แสดงอาการและส่งผลกระทบให้เห็นเด่นชัดมาก่อนก็คือปีติ เป็นความกระเพื่อมที่เกิดขึ้นกับจิตในลักษณะตื่นเต้น ร่าเริง เบิกบานซึ่งก่อให้เกิดความพออกพอใจ อาการอย่างนี้เป็นผลจากการปรุงแต่งที่เกิดกับจิต
ดังนั้นเมื่อกายสังขารสงบรำงับและมีการเจริญอานาปานสติกรรมฐานต่อไป องค์ฌานทั้งสามซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของจิตคือวิตก วิจาร และเอกัคคตารมณ์ จะทำให้สามารถสัมผัสกับสิ่งที่กระเพื่อมกับจิตได้ชัดขึ้นโดยลำดับ นั่นก็คือสามารถสัมผัสกับปีติชัดเจนขึ้นโดยลำดับ
นั่นคือสภาวะที่กำลังดำเนินเข้าสู่การเจริญอานาปานสติขั้นที่สอง คือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือนัยหนึ่งก็คือการทำสติกำหนดรู้เวทนาหรือรู้สัมผัสสิ่งที่ปรุงแต่งจิตอยู่
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานก็มีอยู่สี่ขั้นย่อยเท่าๆ กันกับกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะว่าบังเอิญหรือเป็นธรรมชาติที่เป็นระบบอย่างยิ่งก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการปฏิบัติเรื่องนี้ที่เป็นระบบอย่างยิ่งโดยสรุปก็คือการเจริญกรรมฐานขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีสี่ขั้นตอนย่อย และในขั้นเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานก็มีสี่ขั้นย่อยเท่ากัน
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นตอนแรกก็คือการกำหนดรู้ปีติหายใจออก และการกำหนดรู้ปีติหายใจเข้าซึ่งหมายความว่าทุกลมหายใจออก ทุกลมหายใจเข้าจะกำหนดรู้ในเรื่องปีติ อะไรเล่าที่เป็นตัวกำหนดรู้
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสโดยชัดเจนว่าอะไรเป็นตัวกำหนดรู้ปีติ ทั้งในขณะหายใจออกและหายใจเข้าแต่ในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่จะทำหน้าที่กำหนดรู้ได้ก็มีอย่างเดียวเท่านั้นก็คือจิตที่มีสติตั้งมั่นแล้วจึงสามารถกำหนดรู้ได้
ดังนั้นที่ทรงสอนให้กำหนดรู้ปีติหายใจออก กำหนดรู้ปีติหายใจเข้า ก็คือการสอนให้ทำหน้าที่ของจิตในการกำหนดรู้ปีติทุกลมหายใจออกเข้านั่นเอง
จิตจะกำหนดรู้ปีติอย่างไร นี่เป็นข้อปฏิบัติหรือเป็นกรรมฐานวิธีที่ต้องปฏิบัติในขั้นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นแรก
จะกำหนดรู้อย่างไรก็คือการกำหนดรู้ตามที่เป็นจริงมีความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงอย่างไร ก็ให้รู้ถึงความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องนึกคิดเอาเองหรือจำสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาแล้วมาถือเป็นข้อกำหนดรู้ แต่ต้องถือเอาความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิต หรือที่จิตสัมผัสรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นตามที่เป็นจริงอยู่ทุกลมหายใจออกเข้า
เพื่อเป็นแนวทางให้แก่การปฏิบัติก็พอจะกล่าวได้ว่าในขั้นตอนนี้ทุกลมหายใจออก ทุกลมหายใจเข้าจิตจะกำหนดรู้ความจริงเป็นขั้นเป็นตอนตามธรรมชาติสองขั้นตอน
ขั้นตอนแรก จิตจะสัมผัสหรือกำหนดรู้ความจริงว่า ณ ยามที่กายสังขารสงบรำงับนั้น มีความร่าเริงเบิกบานผ่องใสกระเพื่อมไหวกระทบจิต เป็นความสบายกาย สบายใจ ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลย
ให้ลองเปรียบเทียบดูกับเด็กนักเรียนคนหนึ่งเมื่อทราบผลสอบว่าสอบได้ที่หนึ่ง ซึ่งแม้ผลสอบนั้นจะเป็นผลที่เกิดจากภายนอก แต่เด็กคนนั้นก็จะมีความรู้สึกดีใจ รู้สึกพอใจ รู้สึกชื่นใจ นั่นก็เป็นปีติอย่างหนึ่ง แต่เป็นอย่างหยาบที่เกิดจากปัจจัยภายนอกคือการสอบได้ที่หนึ่ง แล้วเกิดผลกระทบขึ้นแก่จิต ฉันใดก็ฉันนั้น
เป็นแต่ว่าสิ่งที่เรียกว่าปีตินั้นไม่ได้เกิดจากภายนอก เป็นธรรมชาติที่เกิดอยู่ภายใน แล้วปรากฏตัวให้เห็นเด่นชัดขึ้นหลังกายสังขารสงบรำงับ มีลักษณะเป็นความเบิกบาน ความร่าเริง ความผ่องใส แต่อาการเหล่านี้ก็ทำให้จิตกระเพื่อม นี่คือลักษณะของปีติที่จิตจะกำหนดรู้ตามความจริงที่เกิดขึ้น
ยิ่งเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นนี้ไปโดยลำดับเท่าใด จิตก็จะสัมผัสรู้กับสิ่งที่เรียกว่าปีติชัดขึ้นโดยลำดับว่ามีอาการอย่างไร มีอาการเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร และสลายระงับดับไปอย่างไร ก็จะสัมผัสกับอาการที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงนี้อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดสาย หากมีกรณีที่เกิดความเผอเรอวอกแวกไปทางอื่นก็สามารถเจริญสติให้กลับมาเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นนี้ต่อไปได้
ขั้นที่สอง จิตจะสามารถกำหนดรู้ต่อไปด้วยว่าอาการที่เรียกว่าปีตินั้นเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่แล้วก็ดับไปแล้วปรากฏขึ้นใหม่ ดำรงอยู่และดับไปเป็นเกลียวไปเช่นนี้ก็จะกำหนดรู้ถึงความเกิดดับของปีติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นได้ จิตใจก็จะคุ้นชินกับภาวะเกิดดับ เกิดดับ และเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางออกไปจากสิ่งที่กำหนดรู้นั้น

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี