รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เปรียบได้เหมือนรัฐบาลในนิทาน ลิงทอดแห ที่แก้ปัญหาแบบ NATO มีนิทานเล่าว่าลิงเห็นคนทอดแห ได้ปลาบ้างไม่ได้ปลาบ้าง เมื่อคนทอดแห เผลอทิ้งแหไว้ขณะที่ไปทำธุระส่วนตัวลิงป่าคิดว่าตัวเองฉลาดกว่า กระโดดลงจากต้นไม้ลงคว้าแหทอดดูบ้าง ลิงทำท่าเก้งก้าง เหวี่ยงแหออกไปแต่มันดันพันร่างตัวเองติดอยู่ตาข่ายแห ยิ่งแก้ยิ่งพันตัวลิงแน่นขึ้นทุกที
ลิงคิดว่า ตัวเองแน่กว่าคว้าแหทอดเองฉันใด รัฐบาลนายเศรษฐาก็เคยอวดเก่ง เหมือนนิทานลิงทอดแห ฉันนั้น พรรคเพื่อไทย ตอนเป็นฝ่ายค้านเห็นรัฐบาล “ลุงตู่” กู้เงินมาช่วยชาวบ้าน ในห้วงเวลาที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อันเนื่องจากโควิด-19 ระบาดใหญ่ ทำให้อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การผลิต การค้าแทบทุกอย่างชะลอตัวลงจนถึงขั้นปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อทุกภาคส่วนของสังคมประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ การค้าขายซบเซา เพราะประชาชนไม่มีอำนาจจับจ่ายใช้สอย รัฐบาลลุงตู่ จึงให้การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือ กลุ่มเปราะบาง ด้วยมาตรการต่างๆ เช่น เพิ่มเงินสวัสดิการของรัฐ โครงการ“ไทยช่วยไทย” “เที่ยวด้วยกัน” ลดค่าน้ำค่าไฟ และโครงการ“คนละครึ่ง”มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ถูกพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำฝ่ายค้านในเวลานั้น โจมตีวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่า กู้มาโกง แจกชาวบ้านเหมือนให้ขอทาน เนื่องจากแต่ละโครงการชาวบ้าน ได้รับเดือนละสองสามร้อยบาท บางโครงการชาวบ้านได้หนึ่งพันห้าร้อยบาทบ้าง
ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจึงมีนโยบายเพื่อไทยคิดใหญ่ทำได้ขึ้นมาเรียกว่า “แจกเงิน ดิจิทัล 10,000 บาท แก่คนไทยทุกคนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป” ซึ่งประมาณการว่ามีคนไทย 56 ล้านคนได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้
นั่นคือ จุดเริ่มต้นรัฐบาลลิงทอดแห ที่ไม่ได้มีแผนงานล่วงหน้าว่าเหวี่ยงออกไปแล้วต้องทำอย่างไรต่อไป จึงเหมือนกับรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องเสียเวลากับการแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาในโครงการแจกเงินดิจิทัล
ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเสียเวลากับการคิดพลิกแพลงว่า จะหาเงินมาจากไหนแจกจ่ายถึง 560,000 ล้านบาท จะแจกจ่ายโดยวิธีไหน ทำอย่างไม่ให้ผิดกฎหมาย เงินที่แจกออกไปจะสัมฤทธิ์ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คิดไว้ไหม?
ปัญหาทั้งหมดที่รัฐบาลลิงทอดแหกำลังเผชิญอยู่พบว่า ยิ่งแก้แหยิ่งพันตัวลิงมากขึ้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เคยประกาศว่าไม่ใช้เงินกู้ เมื่อถูกองค์กรอิสระนักวิชาการและชาวบ้านทั่วไปถามว่าหาเงินมาจากไหน รัฐบาลลิงทอดแหเลยใช้นโยบาย NATO=No Action Talk Only “คือพูดเท่านั้นไม่เทคแอ๊กชั่นใดๆ”
จะเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้แต่พูดพล่ามกำกวมอ้ำอึ้งว่า แหล่งเงินมาจากไหน แจกเงินดิจิทัลวิธีใด แจกครอบคลุมทั่วไปหรือแจกให้เฉพาะผู้มีรายได้น้อยและคำจำกัดความผู้มีรายได้น้อยอยู่ที่รายได้เท่าไหร่ สรุปคือรัฐบาล “พูดเท่านั้น ไม่ได้ลงมือกระทำการใดๆ”
ล่าสุด นายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีคลัง ก็แถลงว่าจะออกพระราชบัญญัติเงินกู้เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล
และพ.ร.บ.เงินกู้ที่นายเศรษฐากล่าว กลายเป็นแหผืนใหญ่ที่รัดตัวลิงแน่นเข้าไปอีก เพราะพ.ร.บ.เงินกู้ส่อผิดกฎหมาย ดังที่ สว.คำนูณ สิทธิสมาน โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า“เบื้องต้นคือ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 53 ที่ต้องพิจารณาว่า เข้าเงื่อนไข 4 ประการ คือ เร่งด่วน, ต่อเนื่อง, แก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ, ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่ทัน หรือไม่”ซึ่งดูแล้ว พ.ร.บ.เงินกู้ของรัฐบาล ไม่เข้าทั้ง 4 เงื่อนไข
สว.คำนูณกล่าวด้วยว่า ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วน ทำไมไม่ออกเป็นพระราชกำหนดซึ่งสามารถใช้ได้ทันที การออกเป็น พ.ร.บ. ต้องผ่านสองสภา คือ ผ่านมติสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สภาละสามวาระ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีและไม่แน่ว่าพ.ร.บ.เงินกู้เจ้าปัญหา จะผ่านสภาหรือไม่
สรุปคือ รัฐบาลลิงทอดแห กำลังใช้นโยบาย NATO แก้ปัญหา
ตลอดเวลาที่ผ่านรัฐบาลลิงทอดแหใช้นโยบาย NATO ทั้งเรื่องภายในและกิจการเกี่ยวพันกับต่างประเทศเช่นเหตุการณ์เฉพาะหน้าสำคัญ คือ การช่วยเหลือคนไทยที่ติดอยู่ในสงครามในประเทศเพื่อนบ้านสหภาพเมียนมาและสงครามอิสราเอล-ฮามาสตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม
ถึงวันนี้รัฐบาล ยังไม่รู้ว่าจะช่วยคนไทยที่ถูกฮามาสจับเป็นตัวประกันร่วมกับคนสัญชาติอื่นๆประมาณ 250 คนได้อย่างไร ซึ่งคนไทย 23 คน ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ไม่ใช่เป้าหมายของฮามาส ที่เน้นตัวประกันเป็นชาติอิสราเอล เป็นสำคัญ และอาจเป็นเพราะ รัฐบาลลิงทอดแหใช้นโยบาย NATO จึงไม่รู้ว่าตัวประกันไทยจะได้รับการปล่อยเมื่อไหร่
หลักการช่วยเหลือตัวประกันที่ปฏิบัติกันตลอดมา คือ การเจรจาลับกับผู้จับตัวประกันหรือไม่ ก็ใช้กำลังชิงตัวประกันออกมา ดูเหมือนว่า เวลานี้อิสราเอลใช้กำลังชิงตัวประกันโดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์กดดันให้ฮามาสปล่อยตัวประกัน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเจรจาในทางลับก็มีบ้างเช่นกัน มิฉะนั้น ตัวประกันหญิงอิสราเอล
5 คน คงไม่ได้รับการปล่อยออกมา
ส่วนรัฐบาลลิงทอดแหเน้นนโยบาย NATO คือ พูดเท่านั้น ในกรณีคนไทยถูกฮามาสจับรวมเป็นตัวประกันรัฐบาลไทยประกาศปาวๆ ว่า ให้อิสราเอล กาตาร์อียิปต์ อิหร่าน มาเลเซีย ตลอดถึงสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือตัวประกันคนไทยที่ถูกฮามาสจับตัวไป นโยบายพูดเท่านั้นทำให้ผู้ปฏิบัติพล่านเหมือนไก่ถูกสับหัว ด้านมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ติดต่อกับฮามาสลับๆ ได้ความคืบหน้าบ้างนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถึงได้โทรศัพท์มาบอกนายเศรษฐาว่าฮามาสได้แยกคนไทย 20 คนไว้ต่างหากแต่เพื่อความปลอดภัยยังไม่ปล่อยตัวตอนนี้
ส่วน อินโดนีเซีย เป็นประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกสหรัฐกดดันให้เปลี่ยนท่าทีจากการสนับสนุนเป็นประณามฮามาส เป็นกลผู้ก่อการร้าย แต่รัฐบาลอินโดนีเซียกับรัฐบาลมาเลเซีย ยืนยันสนับสนุนฮามาสและปาเลสไตน์ต่อไป และในการพบกันนอกรอบก่อนประชุม APEC ในซานฟรานซิสโก ประธานาธิบดี โจโก วิโดโดกล่าวต่อ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ว่า “สงครามอิสราเอล ฮามาส ควรหยุดได้แล้ว” ถึงแม้ว่า คำพูดของผู้นำอินโดนีเซียไม่สามารถเปลี่ยนใจสหรัฐ ผู้บ้าสงครามได้ แต่อย่างน้อย ก็แสดงให้เห็นจุดยืนที่หนักแน่นของผู้เป็นประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนเรื่องคนไทยประมาณ 200 คนที่ติดอยู่ในสงครามระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังแนวร่วมชาติพันธุ์โกกัง อาระกัน และปะลอง ทางเหนือของรัฐฉานที่รัฐบาลไทยส่ง พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ไปพบกับผู้แทนรัฐบาลทหารพม่า เพื่อขอให้ช่วยเหลือคนไทยออกมาจากสมรภูมิรบอย่างปลอดภัย
ถึงวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในขณะที่สื่อท้องถิ่นพม่ารายงานว่าเมื่อวันที่ 12 พ.ย. เจ้าหน้าที่ชายแดนจีนได้ส่งกำลังเข้ามาอำนวยความสะดวกให้คนจีนที่ติดอยู่ในเมืองเล่าก์ก่ายข้ามชายแดนกลับไปประเทศจีนหมดแล้ว ส่วนนายทุนจีนสีเทาเจ้าของบ่อนการพนันและหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ยอมกลับไปประเทศจีนยังคงอยู่ในเล่าก์ก่ายต่อไปสื่อท้องถิ่นพม่า ไม่พูดถึงคนไทยที่ยังติดอยู่ในสงคราม
ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีไทยที่ไปร่วมประชุมเอเปก ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา กล่าวก่อนออกเดินทางว่าจะขอให้สหรัฐ ช่วยเหลือตัวประกันคนไทย
ได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย และเมื่อไปถึงสหรัฐฯนายเศรษฐาแถลงว่าได้พบปะเจรจากับนักธุรกิจชั้นนำเช่น Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และชักชวนให้มาลงทุนในประเทศไทย นอกจากนั้น นายเศรษฐาได้กล่าวเชิญชวนให้นักธุรกิจชั้นนำอเมริกามาร่วมลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งโครงการหลายแสนล้านดอลลาร์และภาคธุรกิจอื่นๆ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ผู้นำไทยกล่าวว่าได้พบปะเจรจากับคนโน้นคนนี้นั้น แต่จากการติดตามข่าวต่างประเทศ ไม่พบว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองจากภาคธุรกิจใดและไม่มีแม้แต่ “บันทึกข้อตกลงในความเข้าใจร่วมกัน”หรือ เอ็มโอยู ให้เห็นสักฉบับเดียว เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายให้ความสนใจในสิ่งที่นายกฯไทยไปพูด
ตั้งแต่เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 22 กันยายน นายเศรษฐาเดินทางไปต่างประเทศแล้ว 5 ครั้ง 1.เยือนประเทศสมาชิกอาเซียน 2.เยือนประเทศจีน เพื่อร่วมประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง 3.ประเทศซาอุดีอาระเบียเพื่อร่วมประชุมสุดยอดผู้นำชาติอ่าวอาหรับกับผู้นำอาเซียน 4.เยือนสหรัฐอเมริกา 2 ครั้ง คือไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ และล่าสุดไปร่วมประชุม APEC ในซานฟรานซิสโก
ทุกวาระที่ไปร่วมประชุมนานาชาติ นายกเศรษฐาแถลงว่าได้พบปะเจรจาทวิภาคีกับผู้นำชาติอื่นๆ แต่ไม่เคยได้ยินข่าวปฏิกิริยาตอบสนองจากคู่เจรจาหรือมีเอ็มโอยูกับคู่เจรจาและภาคธุรกิจการค้า การลงทุนให้เห็นสักใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติและการร่วมประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางในกรุงปักกิ่ง นายเศรษฐา ไม่ได้พบเจรจาทวิภาคีกับผู้นำจีนและผู้นำเยอรมนี จึงพลาดโอกาสสำคัญที่จะซักถามเจรจาถึงความคืบหน้าเครื่องยนต์ติดตั้งในเรือดำน้ำ
จึงสรุปว่าตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเศรษฐาหมดเวลาไปกับการพูดพร่ำคลำทางแก้ปัญหาที่รัฐบาลสร้างขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เหมือนนิทานลิงทอดแห
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี