จนถึงวันนี้สังคมไทยกลับเข้าสู่โหมดสับสนกับอาการมั่นหน้ามั่นโหนกขั้นเทพกับความดื้อด้านดื้อรั้นของรัฐบาลเป็ดง่อย เจ้าของโมเดลถุงเท้าหลากสีกับพฤติกรรมที่ไม่น่าเลียนแบบเท่าใดนัก โดยเฉพาะในเรื่อง กาลเทศะและสัญญาประชาคมก่อน/หลังการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะนโยบายเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เคาะกะลามาตั้งแต่เมืองสิงหาคมที่รัฐสภามีมติเห็นชอบให้ “หนูน้อยถุงเท้าหลากสี - เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของราชอาณาจักรไทย และมีการตะกุยตะกายนำนโยบายนี้ขึ้นมาจากถังขยะ
หลัง “เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรมว.คลัง, โฆษกคณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย” ออกมาแถลงข่าวออกตัวชะลอนโยบายโครงการนี้ เนื่องจาก “พรรคก้าวไกล”ที่ขณะนั้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีนโยบายที่ต้องใช้เม็ดเงินสูงมาก
พอสถานการณ์กลับมาเข้าข้าง “พรรคเพื่อไทย” โชว์ลีลาชักเข้าชักออกโครงการนี้มาชำระล้างเช็ดถูขัดใหม่ เคาะกะลาให้ประชาชนกว่า 10 ล้านคนที่กากบาทเลือกพรรคเพื่อไทยกระดี๊กระด๊า และแผ่อานิสงส์ถึงประชาชนผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทั่วประเทศด้วย เคาะไปเลื่อนไปจนไม่รู้ชะตากรรมโครงการ
เลื่อนน่ะสังคมไทยพอเข้าใจได้ แต่ไร้เสียงเห่าหอนอรรถาธิบายข้อเท็จจริง มันย้อนแย้งเสียงสำรอกสำรากก่อนหน้านี้ไหม “พรุ่งนี้เพื่อไทย เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน เกิดและเติบโตมาด้วยจิตวิญญาณและจุดยืนที่ถ่ายทอดต่อกันมา ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชนจนมาเพื่อไทย...
“พวกเราทุกคนในพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจและมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้นอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก”
ผลประโยชน์ของประชาชนใช่ข้อเท็จจริงเรื่องการดำเนินการโครงการ “นโยบายเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทหรือไม่อย่างไร
ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ประชาชนคือเจ้าของประเทศ ดังที่ว่า “ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
ทว่ารัฐบาลเป็ดง่อยกลับกลืนอาจมเหล่านี้ลงคือราวกับไม่ประสีประสานิยามเหล่านั้น
เราเห็นด้วยกับคำอภิปรายของ “อู๊ดด้า-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” สส.ระบบบัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีรายจ่ายพ.ศ.2567 ช่วงตอนหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลแถลงความจริงต่อสังคมว่าได้ตั้งหัวข้อสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา กับการตราพระราชบัญญัติกู้เงิน 5 แสนล้านบาทนี้อย่างไร และคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบอย่างไร
เฮ้ย!!... มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเงินภาษีกูที่จ่ายให้รัฐบาลไปใช้ในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน และรัฐบาลต่อๆไปจะต้องเอาเงินภาษีของพวกกูไปใช้หนี้แล้วมันเกี่ยวข้องผลประโยชน์ประชาชนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอย่างนั้นหรือไม่
คุณบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของราชอาณาจักรไทย เคยพ้อว่าเกลียดคำว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” ที่หลงจู๊มังกรสุพรรณได้รับการขนานนามจากลีลาการเดินเกมการเมืองในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา จนพรรคชาติไทยได้เป็นรัฐบาลเกือบผูกขาด เพราะเป็นฝ่ายค้านไม่ได้...มันอดอยากปากแห้ง!?!?!
กระทั่งเลือกตั้งปี 2548 ก่อนการรัฐประหารรสช.โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดชายโจรอุบาทว์ที่โกงบ้านเมืองสวาปามเงินภาษีประชาชนแต่ยกตนเป็นโจรเทวดา ทูนหัวของรัฐบาลเป็ดง่อย ได้ใช้สโลแกนหาเสียงว่า “สัจนิยม สร้างสังคมให้สมดุล” และประกาศบอยคอตต์ทักษิณร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมหาชนทันที
แต่รัฐบาลนี้บริหารแบบคิดใหญ่ ทำเป็นไม่ใส่สเก็ตอย่างยุคคุณบรรหาร แต่ยุค 5 จีเป็ดง่อยเปลี่ยนเป็น “ปลาไหลไฟฟ้าแล่นฉิวอย่างชิวชิวในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ”
ไม่ว่าใครจะถามอย่างไร เป็ดง่อยก็เข้าตำรา ถามช้างตอบม้าเรื่อยไป
ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจกินดอกยุคสมัยนี้ แต่เป็นวิกฤตสามัญสำนึกและสัญญาประชาคมเสียแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี