เลยเส้นตายหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ถึง 24 ชั่งโมงด้วยซ้ำ ทหารกัมพูชายังใช้นิสัยขี้โกงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เปิดฉากลอบโจมตีฝ่ายไทยซ้ำอีกและไม่รู้ว่าพฤติกรรมก่อกวนยั่วยุเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ นั่นเท่ากับว่าข้อตกลงหยุดยิงที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศไปจับมือเจรจากันไว้ที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น กำลังถูกท้าทาย
ไม่เพียงเท่านั้น กรณีกองทัพทั้ง 2 ฝ่ายได้กำหนดข้อตกลงร่วมกันอีก 7 ข้อหลักๆ คือ 1.หยุดยิงเด็ดขาด 2.ห้ามยิงประชาชน 3.งดเสริมกำลัง 4.ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง 5.อำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต 6.จัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน และ 7.รอผลการประชุม GBC ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 นั้น ก็กำลังถูกทดสอบเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แม้กองทัพบกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง พร้อมประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า หากมีการละเมิดต่อเนื่อง กองทัพบกจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสม และจำเป็นอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนไทยโดยไม่ละเว้น แต่เราก็ยังไม่สามารถไว้วางใจต่อความเจ้าเล่ห์ของกัมพูชาได้เลยแม้วินาทีเดียว
สำหรับคนไทยนั้น ไม่ได้รู้สึกกังวลต่อศักยภาพของกองทัพไทยที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่สิ่งที่คนไทยไม่มั่นใจอย่างแรงก็คือ ความฉลาดหลักแหลมของผู้นำรัฐบาลไทยในการรับมือต่อสู้กับความเจ้าเล่ห์ของผู้นำกัมพูชามากกว่า เพราะตั้งแต่เสียงปืนแตกนัดแรกที่ช่องบกจนมาถึงการสู้รบดุเดือดที่ผ่านมานั้นรัฐบาลไทยถูกมองเป็นเบี้ยล่างและเดินตามเกมเขามาโดยตลอด
ล่าสุดคือ กองทัพกัมพูชาพาคณะทูตทหาร 13 ชาติ พร้อมสื่อต่างประเทศ เดินทางไปยังจังหวัดพระวิหาร ตรงข้ามบริเวณจุดผ่อนปรนช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่อันตราย โดยไม่บอกกล่าวถือว่ามีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยกล่าวหาฝ่ายไทยว่าทำลายพื้นที่พลเรือนจากการปะทะ 2 ฝ่าย เป็นการฉวยจังหวะรุกในขณะที่ไทยกำลังชุลมุนติดกับดักอยู่บนความหวาดระแวงที่กัมพูชาจงใจสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ข้อเท็จจริงคือ กองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงทันทีว่า กองทัพกัมพูชาได้นำครอบครัวทหาร 400 กว่าครัวเรือนไปตั้งชุมชนและตลาด ซึ่งละเมิด MOU 2543 ที่ทำการปลูกสิ่งก่อสร้างใกล้เส้นเขตแดน ที่ MOU ห้ามไว้ แต่พบว่าไม่มีประชาชนในพื้นที่เสียชีวิตเพราะก่อนการปะทะฝ่ายกัมพูชาได้อพยพคนออกจากพื้นที่ไปแล้ว และนับจากนี้ไปช่องอานม้าจะปิดพื้นที่เพื่อไม่ให้มีการตั้งชุมชน-ที่อยู่อาศัยอีกต่อไป
นี่คือการเกมระหว่างประเทศที่ผู้นำกัมพูชา ชิงเปิดฉากก่อนไทยอย่างเป็นลำดับขั้นตอนโดยไม่สนวิธีการ ไม่ว่าจะบิดเบือน หรือชั่วช้าต่ำทรามแค่ไหนก็ตามตั้งแต่การวางกำลังทหาร เปิดฉากปะทะที่ช่องบก ลอบวางทุ่นระเบิกก่อนถอนกำลัง ยื่นฟ้องศาลโลกชิง 1 พื้นที่ 3 ปราสาท จุดชนวนสู้รบยิงก่อนที่ตาเมือนธม โจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างป่าเถื่อน ร้องขอหยุดยิง และชิงการนำทูตทหารเข้าพื้นที่
ในขณะที่ฝ่ายไทยนั้น เพิ่งขยับเชิญผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ดูความเสียหาย แม้ดูเชื่องช้าไม่ทันเกม แต่เราก็มีหลักฐานมากเกินพอที่จะชี้ให้เห็นถึงความป่าเถื่อนของกัมพูชาว่า ได้กระทำอะไรไว้บ้างกับชีวิตพลเรือน โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน โรงเรียน และบ้านเรือนประชาชน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับไทยด้วยว่า จะสามารถแสดงให้เวทีโลกเห็นธาตุแท้ของกัมพูชาได้มากน้อยแค่ไหน
รัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพไทย ต้องตั้งหลักให้มั่น เดินเกมรุกอย่างชาญฉลาดและมียุทธศาสตร์ สอดประสานกันอย่างเป็นขั้นตอน เพราะจากนี้ไปคือการเข้าสู่สงครามการทูตอย่างเต็มตัว จริงอยู่แม้ว่าเรายึดมั่นในหลักการความจริงใจ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้คืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว แต่อย่าลืมว่าการสู้กับผู้นำประเทศหน้าด้านสันดานโจรนั้น ต้องรู้เท่าทันเกม รัดกุมรอบคอบ และ ต้องเด็ดขาดโดยไม่เพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี