l บทสรุปผู้บริหาร และผู้ที่สนใจเอาจริง กับการวิเคราะห์และนำประวัติศาสตร์ไปใช้เพื่อการปฏิรูปประเทศเราได้มาร่วมกันสร้างความเข้าใจ “เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖”
วันนี้ เราเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของบทความสำคัญต่อประชาชนและบ้านเมืองแล้ว
l (4) บทเรียนครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ หลังจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ถึง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
(๔) เราสามารถสรุปข้อผิดพลาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองไทย ได้คร่าวๆ คือ
หนึ่ง สังคมไทยและผู้นำนักศึกษาประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตย ได้ตระหนักและเห็นภัยร้ายแรงจาก “การโต้กลับและเอาคืน จากฝ่ายขวาจัดที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่(ที่สูญเสียอำนาจ) และมีกรอบคิดไปในเชิงความรุนแรง”การใช้อำนาจของพวกเขา กระทำต่อประชาชน และผู้นำนักศึกษานักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย”หลังจากเหตุการณ์๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และผลของการเลือกตั้งใหญ่ปี ๒๕๑๘(ที่พรรคฝ่ายสังคมนิยม และฝ่ายกลางๆ ได้เป็น สส.จำนวนมาก และมากกว่าฝ่ายขวาและขวาจัดฯ) การคุกคาม และลอบสังหารผู้นำนักศึกษา กรรมกร ชาวนา และพรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมฯ มีสูงและมากขึ้น
เรา ประชาชนไทย ต้อง “ประณาม การเข่นฆ่านักศึกษาประชาชน ในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙”
สอง แทนที่ผู้นำนักศึกษาประชาชน ที่มีบทบาทต่อมา จะได้มาสรุปทบทวน และแสวงหา “แนวทางการเคลื่อนไหวและต่อสู้ที่ถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์” แต่กลับทำได้ไม่มากนัก เพราะ “ไม่มีประสบการณ์ กำลังไม่เข้มแข็งมากพอ ที่จะขับเคลื่อนให้ไปข้างหน้าได้” รวมทั้งไม่สามารถต่อต้าน กับ “ฝ่ายซ้ายจัด ที่มีบทบาทครอบงำการเคลื่อนไหวในขณะนั้นได้” จึงทำเท่าที่ทำได้ และการหลบหลีกทาง รวมทั้ง “การเดินทางออกไปต่างประเทศหรือชนบทฯ” และปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น คือ “การเข้ามามีบทบาทของแกนนำฝ่ายซ้ายจัด” ในหมู่ผู้นำนักศึกษา กรรมกร และชาวนา รวมทั้งวงการต่างๆ ซึ่งเป็นผลงานของ “แกนนำปีกซ้ายจัดของพรรคคอมมิวนิสต์ในเมือง” (ซึ่งมิใช่เป็นมติของพคท.)ซึ่งมีกระแสความคิดสังคมนิยม จากจีน เข้ามาสู่สังคมไทยและเป็นแนวทางซ้ายจัดของแก๊ง ๔ คนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีบทบาทและอิทธิพลสูงทั้งในจีน และไทย ฯลฯ โดยหลักคิดชี้นำ ในการเคลื่อนไหวในเมืองขณะนั้นของแกนนำกลุ่มซ้ายจัดที่มีบทบาทสูง “ผ่านการจัดตั้ง เยาวชนนักศึกษา ประชาชน” เข้าไปกุมและครอบงำ “องค์กรต่างๆ ของนักศึกษาประชาชน” คือ
(๑) โฆษณาและขยายกระแสความคิดซ้ายจัดในสังคมไทย อย่างเป็นระบบ กระบวนการ และขั้นตอน “ตายสิบเกิดแสน” “เลือดต้องล้างด้วยเลือดฯ” การเคลื่อนไหวในเมืองในหมู่ นักศึกษา กรรมกร ชาวนาฯ ใช้แนวทางซ้ายจัด ที่มีอคติว่าต้องทำอย่างรุนแรง เอาให้ถึงที่สุด อ้างว่า “แนวทางนี้จะประสบความสำเร็จ เช่น การเคลื่อนไหวในโรงงาน เสนอแนวทางสุดโต่ง ไม่จำแนกว่า “เป็นนายทุนต่างชาติ นายทุนชาติ กลาง เล็ก” ผู้ที่เห็นต่างก็จะถูกละเลย หรือลดบทบาทฯ เราประชาชนต้องตำหนิ “ความคิดและแผน ของกลุ่มซ้ายจัด” และต้องปรับปรุงแก้ไขไม่ทำอีก
l (๒) แม้แต่ฝ่ายเดียวกัน ที่เห็นต่าง ก็ไม่ประนีประนอม ใช้ความรุนแรง รวมทั้งต่อครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็ไม่รับฟัง ข้อแนะนำ “ที่ให้เน้นความสงบ การเคลื่อนไหวที่ไม่รุนแรง ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำผิดกฎหมายฯ (๓) การเคลื่อนไหวของแนวทางซ้ายจัด สร้างความไม่พอใจ และเริ่มถูกประชาชนและสังคมคัดค้าน ต่อต้านไม่สนับสนุน เหมือนช่วงก่อน และหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในตอนแรกๆ (๔) การเคลื่อนไหวซ้ายจัด ไปเข้าล็อกของฝ่ายขวาจัด ในการปลุกโฆษณาชวนเชื่อให้สังคมมองผู้นำนักศึกษาประชาชนฝ่ายซ้ายจัดเป็นตัวร้าย ที่จะต้องขจัดและทำลาย
l (๕) หากผู้นักศึกษารุ่น๑๔ ตุลาคมและรุ่นต่อมา ได้ศึกษาสรุปบทเรียน “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา” แล้วนำมาใช้ในการทำงานหรือ การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ “ยกระดับคุณภาพและผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่” โดยเอาจุดแข็งข้อดีมาใช้และปรับปรุงแก้ไขข้ออ่อนข้อผิดพลาดที่เกิดผลเสียใหญ่ จะเกิดผลดีและผู้นำนักศึกษาประชาชน จักสามารถสร้างคุณูปการต่อบ้านเมืองได้อย่างยิ่งใหญ่ ในประเด็นที่สำคัญของเหตุการณ์ในช่วงนั้น คือ
1.การพัฒนาและสร้างให้ “องค์กรนำของนักศึกษา กรรมกร ชาวนาและประชาชน” มีแนวทางความคิดที่ถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์เคลื่อนไหวในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
2.การคัดค้านและวิพากษ์ “แนวทางขวาจัด และแนวทางฝ่ายจัด”ที่มีผลเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชน และบ้านเมือง
3.การสรุปบทเรียน และการรับรู้เข้าใจเหตุการณ์อย่างถูกต้องของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ทำให้เราได้รับรู้บทบาทของฝ่ายต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เหตุการณ์ยุติลงด้วยดี ซึ่งประชาชนและบ้านเมืองเป็นผู้รับผลประโยชน์ แล้วเราก็สามารถขับเคลื่อนพลังของนักศึกษาประชาชน ได้อย่างถูกต้องเป็นจริงและขบวนการของฝ่ายขวาจัด ก็ไม่สามารถสร้างกระแสและการโฆษณาชวนเชื่อให้ร้ายนักศึกษาประชาชนได้ เช่น
(๑) การที่จอมพลถนอมประภาสฯ บินกลับเข้าประเทศไทย ในช่วงปี ๒๕๑๙ เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงของผู้มีบทบาทสำคัญ “ที่ทำให้เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” ยุติลง ไม่มีการต่อสู้กันของทหารสองฝ่าย “ที่จอมพลถนอมประภาสณรงค์” ยอมออกไป เพื่อให้ “บ้านเมืองสงบ” และเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายไปแล้ว จึงให้กลับมาและเมื่อ “ผู้นำนักศึกษาประชาชน” หากยอมให้ “จอมพลประภาส ถนอมฯ”กลับมาซึ่งสภาพตอนนั้น ไม่ได้มีอำนาจเหมือนเดิม และประเทศไทย ก็มีรัฐบาลและกองทัพฯใหม่แล้ว ก็น่าจะไม่มีเงื่อนไข ให้ฝ่ายขวาจัด ก่อความรุนแรงได้อีก (๒) การเคลื่อนไหวที่เป็นผลประโยชน์ต่อประชาชนและบ้านเมืองของผู้นำนักศึกษาฯ จะทำให้ประชาชน จะสนับสนุน ขบวนการนักศึกษาประชาชนต่อไป รวมทั้ง ไม่มีเงื่อนไข หรือ การตัดปัจจัย ที่ฝ่ายขวาจัด จะก่อความรุนแรงปราบปรามนักศึกษาประชาชนได้
4.สังคมไทยที่จักก้าวพัฒนาไป จากรัฐบาล ฝ่ายต่างๆ รวมทั้งขบวนการนักศึกษาประชาชนที่มีคุณภาพและมีหลักคิดประชาธิปไตยที่แท้จริง จะสามารถร่วมกันนำพา “การเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย”พัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงของประชาชนได้ การเฉลิมฉลองครบรอบปีที่สำคัญของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ โดยเฉพาะ “๕๐ ปี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในปี ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา” คงจะมีคุณค่า ความหมาย และเป็นประโยชน์ยิ่งต่อประชาชนและบ้านเมือง นักเรียนนักศึกษาประชาชน วงการต่างๆ และรัฐบาล คงจะมีความรักความสุขยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไทยที่ก้าวไปข้างหน้า ใกล้ถึงเส้นชัย คือ ประชาธิปไตยของประชาชนที่แท้จริงและที่สำคัญ “นักเรียน เยาวชน นักศึกษา และประชาชนไทย” จะได้เห็นคุณค่า และคุณูปการของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยแล้ว ความรัก ความปิติยินดี จะแผ่ไพศาลไปทั่วแผ่นดินไทย ความภูมิใจ ในบทบาทของนักศึกษา ประชาชนไทย จะเกิดขึ้นในหัวใจของประชาชนไทย
l บทสรุปที่สำคัญยิ่งจากบทความนี้ คือ
ก. การที่ผู้นำนักศึกษาประชาชน และนักวิชาการไทย
๑.ไม่ได้มีการสรุปบทเรียนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทยทั้งในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่ เหตุการณ์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และสำหรับคนในรุ่นนี้ คือ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
๒.รวมทั้ง การไม่พยายามหาข้อเท็จจริง และการนำ “ความจริงของเหตุการณ์นี้” ของฝ่ายต่างๆ ในสังคมไทย มาศึกษาทบทวน และสรุปบทเรียน
ทำให้เกิดผลเสียหายใหญ่หลวง และต่อเนื่องมาตลอดจนมาถึงทุกวันนี้
ข. แต่หากกลับกัน คือ ผู้นำนักศึกษา นักวิชาการ นักการเมืองและภาคประชาชนได้มีการสรุปบทเรียนเหตุการณ์ที่ผ่านไปในประวัติศาสตร์ จะทำให้เรา และประชาชนไทย จะได้เข้าใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ศึกษาเรียนรู้และเข้าใจ
๑.ข้อดีข้อเสีย จุดแข็งจุดอ่อน ของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายของตน
๒.รู้ว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก และฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด ในการดำเนินการที่ผ่านไป
๓.โดยเฉพาะ แต่ละฝ่ายที่ได้มีบทบาทในเหตุการณ์ ก็จะได้เห็นทางออกที่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
๔.ฝ่ายที่ทำผิดพลาด อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง จะได้สำนึกผิด ขอโทษต่อสังคม และจักไม่ทำผิด
๕.รวมทั้งผู้นำในยุคต่อๆ มา ก็จะได้รู้แจ้งในความจริงและไม่ทำผิดซ้ำ ไม่ย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือวนเวียนในถ้ำแห่งอวิชชา ไม่มีทางออก
ค.เรื่องการสรุปบทเรียน เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมาต้องอาศัย ผู้นำที่มีอุดมคติ เป็นผู้หาญเสียสละ ที่จะกล้าฝ่าฟันและโต้กับ “กระแสของสังคมที่ ไม่มีการริเริ่ม และปฏิเสธ ที่จะทำการศึกษาสรุปบทเรียนในเหตุการณ์ที่ผ่านมา” ด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา เช่น มันยากลำบาก และไม่สามารถทำได้มีคนต่อต้านคัดค้าน เพราะ “กลัวความจริงที่จะถูกเปิดเผย ความบกพร่องและผิดพลาดของแต่ละฝ่าย” ทางรัฐบาล และฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะไม่ให้ความร่วมมือ ฯลฯ
l หมายเหตุ
บทความนี้ เป็นเพียงบทเริ่มต้น
ในการเสนอ ความคิดและข้อมูลหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้พยายามศึกษารวบรวม ค้นคว้า แสวงหาข้อมูลจากหนังสือ และข้อเขียน และการเข้าพบบุคคลต่างๆ ที่มีบทบาทในเหตุการณ์ในยุค ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ซึ่งทำขึ้นมาด้วยความยากลำบากและอุปสรรค จากการแสวงหาความจริงและการต่อต้าน ไม่เห็นด้วยจาก “ผู้นำบางส่วนในเหตุการณ์” ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่ ผู้เขียนขอขอบคุณ “ผู้ใหญ่ เพื่อนมิตร และนักต่อสู้รุ่นใหม่ ฯลฯ” ที่ช่วยสนับสนุน และให้กำลังใจ ให้เดินหน้า “คิดและทำ สิ่งที่ดีงาม เพื่อสังคมในอนาคตต่อไป”
@ ผู้เขียนมีกรอบคิดที่หวังให้“มีจุดเริ่มต้น ในการแสวงหาความเป็นจริงและการสรุปบทเรียนที่ถูกต้องเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด เพื่อที่จะเป็นหมุดเริ่มต้น ให้คนในรุ่นต่อๆ มา ที่มีจิตใจเป็นนักวิชาการและมีจิตวิญญาณของนักอุดมคติที่แสวงหาสัจจะจากความเป็นจริง ได้มีการดำเนินการต่อไป ให้ดีขึ้น และสมบูรณ์ขึ้นและสามารถเป็นที่ยอมรับของสังคมและนี่คือ “การเริ่มต้นของการมีแนวคิดที่ถูกต้อง ที่จะก้าวและพัฒนาต่อไป ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง”
อวสาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี