สำนักข่าวอิรวดีรายงานเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ว่า รัฐบาลทหารเมียนมาจะบังคับใช้กฎหมายรับราชการทหาร ให้ชายอายุตั้งแต่ 18-35 ปี หญิง อายุระหว่าง 18-27 ปี เข้าปฏิบัติหน้าที่ทหารเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี
หลังจากรัฐบาลประกาศบังคับใช้หมายราชการทหาร ปฏิบัติการข่าวตะวันตก โหมปั่นกระแสว่า กองทัพเมียนมาซึ่งกำลังล่มสลายต้องเกณฑ์หนุ่มสาวเมียนมาเข้าสู่สมรภูมิรบกับฝ่ายต่อต้านที่กำลังคืบหน้า และคาดว่าจะล้มรัฐบาลทหารเมียนมาได้ในเร็ววัน และปฏิบัติการข่าวของสื่อตะวันตกเป็นเหตุให้ชาวเมียนมาแห่กันไปขอวีซ่าเข้าประเทศไทยวันละหลายพันคน สื่อต่างประเทศรายงานว่า ที่สถานทูตไทยในย่างกุ้งคนหนุ่มสาวราว 1,000-2,000 คนไปยืนเข้าแถวขอวีซ่าซึ่งเกินความสามารถของสถานทูตจะทำได้ต้องจัดคิวให้ขอวีซ่าได้ไม่เกิน 400 คนต่อวัน
แหล่งข่าวในสมาคมจัดหางาน กล่าวว่าการตื่นกลัวหนีเกณฑ์ทหารส่วนหนึ่งมาจากการปั่นกระแสของสื่อตะวันตกและปฏิบัติการข่าวของอเมริกา “กระบอกเสียงของสหรัฐ วิทยุฟรีเอเชียเสรี (Radio Free Asia=RFA) กับสำนักข่าว VOA ปั่นกระแสว่า กองทัพเมียนมากำลังพ่ายแพ้ฝ่ายต่อต้าน ทหารเมียนมาไม่มีกำลังใจรบแปรพักตร์ไปร่วมมือกับฝ่ายต่อต้านเป็นพันเป็นหมื่นคน”
เมื่อตะวันตกทำปฏิบัติการข่าว รัฐบาลทหารเมียนมาก็ตอบโต้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายรับราชการทหารที่มีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล นางออง ซาน ซู จี “กฎหมายนี้มีตั้งแต่ปี 2562 แต่ไม่เคยบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ก.ม.เกณฑ์ทหารเพิ่งมาบังคับใช้ปีนี้” อดีตทหารเมียนมากล่าว และอธิบายว่า กฎหมายรับราชการทหารซึ่งบัญญัติให้ชายเมียนมาอายุ 18 ถึง 35 ปี รับราชการทหารสามถึงห้าปี หญิงเมียนมา อายุ 18 ถึง 27 ปีรับราชการทหารหนึ่งถึงสองปี และการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2562 พบว่ามีหนุ่มสาวเมียนมา 14 ล้านคนอยู่ในข่ายต้องรับคัดเลือกรับราชการทหารซึ่งเป็นชาย 6.3 ล้านคน และเป็นหญิง 7.7 ล้านคน แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า การออกกฎหมายรับราชการทหารในเวลานั้นเป็นกุศโลบายให้หนุ่มสาวเมียนมารักชาติมากขึ้น เมื่อได้เข้าอบรม หรือรับราชการทหาร และกฎหมายที่เขียนไว้กว้างๆ ไม่ได้มีกำหนดวันเกณฑ์ทหารเหมือนประเทศไทยว่า เมื่ออายุถึงเกณฑ์ต้องคัดเลือกวันไหน และกองทัพรับทหารเกณฑ์จำนวนเท่าไหร่
..“การบังคับใช้กฎหมายรับราชการทหารครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า กองทัพเมียนมาต้องเกณฑ์ทหารใหม่เป็นหมื่นเป็นแสนคน... มันเป็นเพียงจิตวิทยาเพื่อป้องปรามว่ายังมี กฎหมายรับราชการทหารอยู่นะ” แหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อมูลจากแหล่งข่าวซึ่งตรงกับที่ พล.ต.ซอ มิน ตุน
โฆษกของรัฐบาลทหาร บอกกับผู้สื่อข่าวบีบีซี แผนกภาษาเมียนมาเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ว่า มีความต้องการเกณฑ์ทหารจำนวน 5,000 คน ทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
การเกณฑ์ทหารเพียง 5,000 คน ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทยและประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกไปนับว่าคัดเลือกลูกผู้ชายไปรับใช้ชาติน้อยมาก แต่ยังไม่วายถูกปฏิบัติการข่าวตะวันตกโหมปั่นกระแสราวกับว่า กองทัพเมียนมากำลังเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายต่อต้าน จำเป็นต้องบังคับคนหนุ่มสาวเป็นหมื่นเป็นแสนเข้ารับราชการทหาร ผลักดันให้คนเมียนมาหนีออกนอกประเทศมากขึ้น และสิ่งที่สังคมภายนอกไม่รู้คือกองทัพเมียนมาไม่มีระบบคัดเลือกหรือเกณฑ์ทหารมาก่อน กองทัพเมียนมาใช้วิธี 1. สมัครเป็นทหาร 2. ใช้เงินซื้อตัวเป็นทหาร 3. ผู้ที่มีคดีสมัครเป็นทหารแทนการจำคุก และพลทหารทุกคนจะได้รับเงินเดือนประมาณ 1,000 บาทไทย และการซื้อตัวเป็นทหารมีราคาตั้งแต่ 2 ถึง 5 ล้านจ๊าดหรือประมาณสองหมื่นถึงห้าหมื่นบาทไทย อดีตทหารเมียนมากล่าว
ตัวแทนบริษัทจัดหางานในประเทศไทยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานเมียนมาสั่งระงับการจัดส่งแรงงานเมียนมาไปต่างประเทศชั่วคราว “ยังไม่ชัดเจนว่าสั่งระงับส่งแรงงานไปต่างประเทศนานเท่าไหร่ แต่เชื่อกันว่าคำสั่งนี้จะทำให้คนหนุ่มสาวที่ไม่อยากถูกเกณฑ์เป็นทหารหนีออกนอกประเทศนับล้านคน”แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับการจัดหางานให้แรงงานเมียนมากล่าวกับแนวหน้า แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล บริษัทจัดหางานในเมียนมาสามารถส่งแรงงานถูกต้องตามกฎหมายไปประเทศไทยได้วันละ 300-500 คน ประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ 200-300 คนต่อวัน การที่กระทรวงแรงงานสั่งระงับส่งแรงงานไปต่างประเทศส่งผลให้หนุ่มสาวเมียนมาแห่กันไปขอวีซ่าที่สถานทูตไทยเป็นร้อยเป็นพันคนต่อวัน
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงผู้ประสานงานใกล้ชิดกับกองทัพเมียนมา กล่าวว่า เมียนมายังไม่มีความจำเป็นที่ต้องเกณฑ์ทหารเพิ่มเป็นหมื่นเป็นแสนคน ปัจจุบันกองทัพเมียนมามีทหารประจำการ 400,000 คนและมีพลเรือนอาสาสมัครติดอาวุธ 100,000 คน
...“กองทัพเพียงแต่ต้องการเกณฑ์หนุ่มสาวหมู่บ้านละ 2 ถึง 20 คนมาปรับทัศนคติฝึกอบรมการเป็นทหารเพื่อให้มีจิตผูกพันต่อความมั่นคงของชาติ และขจัดอิทธิพลตะวันตกออกจากสมองของหนุ่มสาว” แหล่งข่าวกล่าวเสริมว่า “กองทัพเมียนมาต้องการคนหนุ่มสาวจากหมู่บ้าน ตำบลในชนบททั่วประเทศเพียง 60,000 คนมาปรับทัศนคติใหม่ และฝึกให้เป็นอาสาสมัครเป็นหูเป็นตาให้รัฐบาลไม่ได้เอาไปเป็นทหารตามที่สื่อตะวันตกปั่นกระแส” แหล่งข่าวกล่าว
ผู้เขียนเห็นด้วยกับแหล่งข่าวที่ว่าสื่อตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยุเอเชียเสรีกับสำนักข่าววีโอเอปั่นกระแสให้ดูเหมือนว่ากองทัพเมียนมากำลังเพลี่ยงพล้ำ และจำเป็นต้องเกณฑ์หนุ่มสาวเมียนมา 14 ล้านคนให้เป็นทหารจับปืนออกรบกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาในแนวหน้า สื่อตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นปฏิบัติการข่าวให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร บางสำนักข่าวถึงกับทึกทักเอาว่า ทหารที่เกณฑ์มาใหม่จะถูกส่งออกไปรบกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธ์ุในป่าเขาลำเนาไพรเสี่ยงตายเพื่อรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งการปั่นกระแสหนักเข้าผลักดันให้หนุ่มสาวเมียนมาแห่หนีออกนอกประเทศ ทะลักไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย เพื่อนบ้านที่เป็นม้าอารีและการบังคับใช้กฎหมายหย่อนยานตกเป็นแพะรับบาปของปฏิบัติการข่าวของตะวันตก
ดังนั้นหน้าแล้งนี้คาดว่า หน่วยงานมั่นคงของไทยต้องรับภาระหนักในการป้องกันแรงงานเถื่อน และหนุ่มสาวเมียนมาหนีเกณฑ์ทหารเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมาทอดแนวยาวกว่า 2,000 กม. นอกจากหนักใจกับแรงงานเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว หน่วยงานมั่นคงไทยต้องหนักใจในการถูกกดดันจากเอ็นจีโอ ที่รับเงินรับงานจากต่างชาติ นอกจากนั้นหน่วยงานมั่นคงในประเทศไทยยังต้องหนักใจกับพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯและกองทัพ เพราะพรรคนี้มี สส.บางคนหนีเกณฑ์ทหารเสียเองกดดันให้หน่วยงานมั่นคงเปิดประตูต้อนรับชาวเมียนมาทั้งที่หนีการเกณฑ์ทหารและที่อ้างว่าหนีตายจากสงครามกลางเมืองในเมียนมาให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี