กรณีนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องติดคุกทั้งๆ ที่ศาลพิพากษาว่าให้ต้องโทษด้วยการติดคุกเป็นเวลา 8 ปี เรื่องนี้เป็นการบ่งบอกชัดเจนว่า กระบวนการลงโทษหลังจากศาลตัดสินพิจารณาคดีแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำตามที่ศาลพิพากษา เพราะไม่ว่าศาลจะตัดสินลงโทษสถานใด แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่มีอำนาจรัฐ และมีอำนาจเงิน รวมถึงมีอิทธิพลในด้านอื่นๆ ที่ชื่อว่า (นักโทษชาย) ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ต้องรับโทษตามคำพิพากษาของศาล
สาธารณชนที่ยึดมั่นในหลักนิติรัฐถามว่า เหตุใดนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับอภิสิทธิ์สูงสุดเช่นนี้ คำตอบเรื่องนี้ตอบยากมาก เพราะว่าเป็นกรณีศึกษาที่คนไทยทั้งประเทศจำเป็นต้องกลับไปศึกษาและทบทวนเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงมีคำถามตามมาว่า แล้วถ้าหากคนไทยคนอื่นๆ ทำผิดเช่นเดียวกับที่นักโทษชายทักษิณกระทำ จะได้รับอภิสิทธิ์เหมือนที่นักโทษชายทักษิณได้รับหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่า ไม่มีทางได้รับเป็นอันขาด เพราะกรณีนี้เกิดได้แค่กับนักโทษชายทักษิณเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่หากจะว่าไปแล้ว ประเด็นนักโทษชายทักษิณไม่ต้องถูกจองจำ หรือไม่ต้องติดคุก ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่าการที่อยู่ดีๆ นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินที่หนีคดีไปร่อนเร่ในต่างประเทศหลายประเทศยาวนานถึง 17 ปี จะกลับมาเพื่อติดคุกไทย ก็เป็นเรื่องพิสดารเต็มที เพราะอุตส่าห์หนีคดีมายาวนานถึงเพียงนั้น แล้วจะกลับใจยอมกลับมาติดคุกไทย ก็ต้องถือว่าไม่มีทางเป็นไปได้
ส่วนนักโทษชายทักษิณมีข้อตกลงพิเศษกับใคร จึงทำให้ไม่ต้องติดคุก เรื่องนี้ก็ได้แค่คาดเดากันไป แต่ที่แน่ๆ คือนักโทษชายทักษิณยอมกลับเข้าประเทศไทย เพราะในยามนี้พรรคเพื่อไทยมีสถานภาพเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยร่วมกับพรรคการเมืองที่พรรคเพื่อไทยประกาศตลอดเวลาว่าจะไม่ยอมร่วมเป็นรัฐบาลด้วยเป็นอันขาดคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ
แต่สุดท้ายก็พบเห็นแล้วว่าพรรคร่วมรัฐบาลชุดล่าสุดประกอบด้วยพรรคต่างๆ จำนวน 11 พรรค คือ เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ประชาชาติ ชาติพัฒนากล้าเพื่อไทรวมพลัง เสรีรวมไทย พลังสังคมใหม่ และท้องที่ไทย โดยพรรคที่มี สส. เพียง 1-2 คน ไม่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่มีเศรษฐา ทวีสิน รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แล้วก็ยังพบอีกว่า สว. สายที่สาธารณชนเห็นว่าเป็นสายที่อยู่ในฟากฝั่งของ ประยุทธ์จันทร์โอชา ได้ลงคะแนนเลือกให้เศรษฐาได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างท่วมท้น ทั้งๆ ที่เศรษฐาต้องการเสียง สว. สนับสนุนเพียง 60 เสียง ก็สามารถเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า สว. เทคะแนนเสียงสนับสนุนเศรษฐามากถึง 152 เสียง ซึ่งนับว่ามหัศจรรย์มากที่ สว. เทคะแนนให้มากมายถึงเพียงนั้น แต่นั่นก็ย่อมต้องมาจากการทำข้อตกลงบางประการร่วมกันไว้เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ผล
ออกมาได้พิสดารมากถึงเพียงนั้น
สาเหตุที่ต้องเล่าเรื่องเก่าให้ (บางเรื่อง) ให้ฟังก็เพราะต้องการย้ำว่า มันมีข้อตกลงพิเศษจริงๆ แต่ทว่ามันพิเศษและลึกลับสุดๆ เสียจนไม่มีใครสักกี่คนที่จะล่วงรู้ความจริงของการทำข้อตกลงลับ อันส่งผลให้นักโทษชายทักษิณตัดสินใจกลับประเทศไทย และทำให้นักโทษชายทักษิณไม่ต้องติดคุกติดตะรางแม้แต่วันเดียว
บัดนี้ นักโทษชายทักษิณกำลังออกไปแสดงละครการเมือง โดยล่าสุดเดินทางไปเชียงใหม่ ไปทำกิจกรรมการเมืองต่างๆ ได้ราวกับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย ก็ต้องบอกอีกเช่นกันว่านับเป็นความมหัศจรรย์สูงสุดที่นักโทษชายทักษิณสามารถทำกิจกรรมการเมืองได้ ทั้งๆ ที่ยังมีสถานภาพเป็นนักโทษ ย้ำว่ายังมีสถานภาพนักโทษ เพียงแต่ได้รับการพักโทษ ต้องขีดเส้นใต้ตรงคำว่าพักโทษ แล้วต้องย้ำ ย้ำ และย้ำว่ายังไม่พ้นโทษ แต่ยังมีสถานภาพเป็นนักโทษที่ได้รับการพักโทษเท่านั้น
จากภาพที่ปรากฏคือ เมื่อนักโทษชายทักษิณไปปรากฏตัวในที่ต่างๆ ในเชียงใหม่ ก็พบว่ามีข้าราชการระดับสูงหลายราย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ไปต้อนรับ นอกจากนั้น ยังพบว่านักโทษชายได้ตระเวนไปเล่นละครการเมืองด้วยการทำเป็นตรวจราชการ ถามอีกครั้งว่า นักโทษชายทักษิณมีหน้าที่ตรวจราชการหรือ และเหตุใดข้าราชการระดับสูงจึงไปแสดงอาการพินอบพิเทานักโทษชายทักษิณ เรื่องตลกร้ายแบบนี้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น Thailand only and only Thailand
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี