วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
สงกรานต์ผ่านไปแล้ว รดน้ำดำหัวกันไปแล้ว ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีนับวันยิ่งดังกระหึ่มขึ้น รัฐบาล“เศรษฐา 1”ทำงานมาได้เพียงแค่ 7 เดือนกว่า ยังไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราว แต่กลับจะมีการปรับ ครม.เป็นรัฐบาล”เศรษฐา 2”
โดยใช้เกณฑ์การทำงานของรัฐมนตรีเป็นตัวตัดสิน ซึ่งเหตุผลนี้ก็ไม่จริง เพราะเวลาถูกโจมตีว่าไม่มีผลงาน ก็อ้างว่าเพิ่งจะเข้าทำงานได้ 7 เดือน งบประมาณก็ไม่มี ต้องใช้งบประมาณตามวงเงินของปี 2566
เหตุผลที่แท้จริง ก็เพราะ“นักโทษเทวดา”ที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกเพื่อไทยตัวจริงต้องการจะปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ตนเองพึงประสงค์ การรดน้ำขอพรที่เชียงใหม่เป็นสัญญาณชี้ชัด ภาพที่รัฐมนตรีและ สส.ของพรรคเพื่อไทยแห่แหนไปห้อมล้อมทักษิณ ก็ไม่ต่างจากแมลงวันที่ได้กลิ่นสิ่ง“ปฏิกูล” มันจึงบินไปตอม
เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริง ในการที่จะชี้นิ้วกำหนดว่ารัฐมนตรีคนไหนของพรรคเพื่อไทยสมควรอยู่หรือสมควรไป ไม่ใช่“เศรษฐา ทวีสิน”ที่ไม่มีอำนาจอยู่จริง เพราะเศรษฐาก็เปรียบเหมือนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งไม่มีแสงสว่างในตัวเอง เป็นแค่ดาวบริวารโคจรรอบดวงอาทิตย์ คือต้องพึ่งแสงสว่างหรืออำนาจจากทักษิณเช่นกัน
เห็นได้จากแม้กระทั่งสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลยังตั้งฉายาด้วยมติเป็นเอกฉันท์ให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็น“เซลส์แมนสแตนด์ชิน” เพราะนายเศรษฐาไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง แต่เป็นเงาที่เกิดจากแสงของคนใน“ตระกูลชินวัตร” เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ “สแตนด์อิน”
ดังนั้น ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่บ้านพักกรีนวัลเลย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ของนางเยาวภาและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน”สระเกล้าดำหัวประเพณีปี๋ใหม่เมือง“ในวันสงกรานต์เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”คือศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริง สามารถดลบันดาลให้ใครนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่อไป หรือจะให้ใครกระเด็นตกจากเก้าอี้ก็ได้ทั้งสิ้น
คนที่เห็นชัดเจนที่สุดว่าจะต้องหลุดจากตำแหน่งรัฐบาล“เศรษฐา 1”คือนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยสังเกตท่าทีของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ในวัน“รดน้ำขอพร”ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทักษิณแสดงอาการเมินเหมือนไม่เห็นหัวนายสุทินถึงสองครั้งในการยกมือไหว้เพื่อจะมอบพวงมาลัยดอกไม้ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าในลักษณะประชิด
และนั่นก็คือนิสัยถาวรของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ชอบดูถูกคน ด้วยคิดว่าตนเป็นเจ้าของคอก ขณะที่นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยเองก็ยอมก้มหัวและทอดตัวรับใช้
นายสุทิน คลังแสง เจ้าของฉายา“พลิกทินสู่ดาว” ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งมาจากพลเมืองเต็มขั้นคนแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยไม่ได้ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในอดีตที่มาจากพรรคการเมือง อีกทั้งไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับกองทัพนอกจากนามสกุล“คลังแสง”เท่านั้น ถ้าจะว่าไป ในสายตาของผู้คนทั่วไป เห็นว่าในบรรดารัฐมนตรี 34 คนของรัฐบาล“เศรษฐา 1” นายสุทินก็เป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งในจำนวนรัฐมนตรีไม่กี่คนที่ทำงานถือว่าผ่าน
อาจจะเป็นเพราะด้วยบุคลิกภาพที่สื่อทำเนียบรัฐบาลและสื่อสายทหารเห็นพ้องต้องกันว่า “สุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และลีลาร้องรำน่าเอ็นดู”จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง และสามารถประสานงานกับผู้นำเหล่าทัพได้อย่างเป็นเนื้อน้ำเดียวกัน เลยทำให้ขัดหูขัดตา“นายใหญ่”เจ้าของคอกที่ต้องการกระชับอำนาจแบบสามารถสั่งให้กองทัพ“ซ้ายหันขวาหัน”ได้ อย่างน้อยภาพที่เห็น นอกจากตำรวจแล้ว ยังไม่เคยมีผู้นำกองทัพคนใด ที่วิ่งเข้าไปยอมสยบ“ทักษิณ ชินวัตร”นับตั้งแต่กลับเข้ามา“ติดคุกทิพย์”ในประเทศไทยจนกระทั่งได้รับการพักโทษ
เจ้าของคอกแสดงท่าทีเช่นนั้น นายสุทิน คลังแสง ย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่า ไม่มีเป็นอื่นนอกจาก“พลิกดินสู่สภาฯ”ด้วยเหตุผลตามข่าวถูกปล่อยออกมา เป็นการโยนหินถามทางของพรรคเพื่อไทยว่าบทบาทนายสุทินเหมาะสมกับงานในสภาฯ ที่เวลานี้ขาดตัวผู้เล่นระดับ“ฝีปากเอก“ในการต่อกรกับพรรคฝ่ายค้าน
แนวโน้มคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทนนายสุทิน คลังแสง ก็คือนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จะนั่งเก้าอี้ควบกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนอกจากจะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงตามอำนาจการตัดสินใจของ“นายใหญ่”ที่เป็นเจ้าของคอก และในฐานะผู้กำหนดเกมบน“กระดานแห่งอำนาจ”แล้ว ก็เพื่อที่จะเปิดทางให้“พิชัย ชุณหวชิร”ขึ้นมาเป็น“ขุนคลัง”หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทนนายเศรษฐาที่นั่งควบเก้าอี้อยู่ในเวลานี้
“พิชัย ชุณหวชิร” วัย 76 ปี ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นสายตรงของนายใหญ่และนายหญิงแห่ง“บ้านจันทร์ส่องหล้า” และมีชื่อชั้นเป็นประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนั้นทุกวันนี้ยังนั่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในอดีตก็ยังเคยเป็นกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย
ที่สำคัญเหนืออื่นใดต้องหมายเหตุไว้ตรงนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร เคยเป็นพยานคนสำคัญให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยยิ่งลักษณ์ได้ขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียกนายพิชัยเข้ามาให้ปากคำในคดีนี้ ซึ่งยิ่งลักษณ์อ้างว่า นายพิชัยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่ได้รับการยอมรับของผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านบัญชี และเป็นบุคคลภายนอกที่มิได้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องกับตน
สรุปภาพทั้งหมด การเมืองเรื่องอำนาจ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเรื่องของ“ทักษิณ โดยทักษิณ เพื่อทักษิณ”แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
รุ่งเรือง ปรีชากุล

'เก้า นพเก้า'สร้างเรื่อง! เพราะความหล่อเป็นเหตุ
‘ผู้การฯสิงห์บุรี’ร่วมมอบสิ่งของพระราชทาน มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯแก่ผู้ประสบอัคคีภัย
มติ‘วุฒิสภา’ฟัน‘นันทนา’ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปมด้อยค่า‘สว.แม่ค้าขายหมู’ ส่งต่อ ป.ป.ช.ดำเนินการ
ทรงพระเมตตา 'สมเด็จพระพันปีหลวง' เปลี่ยนชีวิต 'น้องหมิว' บัณฑิตจิ๋ว
มหาสารคามคึกคัก! แม่ค้าเสื้อผ้ามือสองจัดเต็ม ‘เสื้อดำหลักสิบ’ ช่วย ปชช.ประหยัดเงิน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี