สงกรานต์ผ่านไปแล้ว รดน้ำดำหัวกันไปแล้ว ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีนับวันยิ่งดังกระหึ่มขึ้น รัฐบาล“เศรษฐา 1”ทำงานมาได้เพียงแค่ 7 เดือนกว่า ยังไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราว แต่กลับจะมีการปรับ ครม.เป็นรัฐบาล”เศรษฐา 2”
โดยใช้เกณฑ์การทำงานของรัฐมนตรีเป็นตัวตัดสิน ซึ่งเหตุผลนี้ก็ไม่จริง เพราะเวลาถูกโจมตีว่าไม่มีผลงาน ก็อ้างว่าเพิ่งจะเข้าทำงานได้ 7 เดือน งบประมาณก็ไม่มี ต้องใช้งบประมาณตามวงเงินของปี 2566
เหตุผลที่แท้จริง ก็เพราะ“นักโทษเทวดา”ที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกเพื่อไทยตัวจริงต้องการจะปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ตนเองพึงประสงค์ การรดน้ำขอพรที่เชียงใหม่เป็นสัญญาณชี้ชัด ภาพที่รัฐมนตรีและ สส.ของพรรคเพื่อไทยแห่แหนไปห้อมล้อมทักษิณ ก็ไม่ต่างจากแมลงวันที่ได้กลิ่นสิ่ง“ปฏิกูล” มันจึงบินไปตอม
เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริง ในการที่จะชี้นิ้วกำหนดว่ารัฐมนตรีคนไหนของพรรคเพื่อไทยสมควรอยู่หรือสมควรไป ไม่ใช่“เศรษฐา ทวีสิน”ที่ไม่มีอำนาจอยู่จริง เพราะเศรษฐาก็เปรียบเหมือนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งไม่มีแสงสว่างในตัวเอง เป็นแค่ดาวบริวารโคจรรอบดวงอาทิตย์ คือต้องพึ่งแสงสว่างหรืออำนาจจากทักษิณเช่นกัน
เห็นได้จากแม้กระทั่งสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลยังตั้งฉายาด้วยมติเป็นเอกฉันท์ให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็น“เซลส์แมนสแตนด์ชิน” เพราะนายเศรษฐาไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง แต่เป็นเงาที่เกิดจากแสงของคนใน“ตระกูลชินวัตร” เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ “สแตนด์อิน”
ดังนั้น ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่บ้านพักกรีนวัลเลย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ของนางเยาวภาและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน”สระเกล้าดำหัวประเพณีปี๋ใหม่เมือง“ในวันสงกรานต์เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”คือศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริง สามารถดลบันดาลให้ใครนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่อไป หรือจะให้ใครกระเด็นตกจากเก้าอี้ก็ได้ทั้งสิ้น
คนที่เห็นชัดเจนที่สุดว่าจะต้องหลุดจากตำแหน่งรัฐบาล“เศรษฐา 1”คือนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยสังเกตท่าทีของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ในวัน“รดน้ำขอพร”ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทักษิณแสดงอาการเมินเหมือนไม่เห็นหัวนายสุทินถึงสองครั้งในการยกมือไหว้เพื่อจะมอบพวงมาลัยดอกไม้ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าในลักษณะประชิด
และนั่นก็คือนิสัยถาวรของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ชอบดูถูกคน ด้วยคิดว่าตนเป็นเจ้าของคอก ขณะที่นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยเองก็ยอมก้มหัวและทอดตัวรับใช้
นายสุทิน คลังแสง เจ้าของฉายา“พลิกทินสู่ดาว” ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งมาจากพลเมืองเต็มขั้นคนแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยไม่ได้ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในอดีตที่มาจากพรรคการเมือง อีกทั้งไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับกองทัพนอกจากนามสกุล“คลังแสง”เท่านั้น ถ้าจะว่าไป ในสายตาของผู้คนทั่วไป เห็นว่าในบรรดารัฐมนตรี 34 คนของรัฐบาล“เศรษฐา 1” นายสุทินก็เป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งในจำนวนรัฐมนตรีไม่กี่คนที่ทำงานถือว่าผ่าน
อาจจะเป็นเพราะด้วยบุคลิกภาพที่สื่อทำเนียบรัฐบาลและสื่อสายทหารเห็นพ้องต้องกันว่า “สุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และลีลาร้องรำน่าเอ็นดู”จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง และสามารถประสานงานกับผู้นำเหล่าทัพได้อย่างเป็นเนื้อน้ำเดียวกัน เลยทำให้ขัดหูขัดตา“นายใหญ่”เจ้าของคอกที่ต้องการกระชับอำนาจแบบสามารถสั่งให้กองทัพ“ซ้ายหันขวาหัน”ได้ อย่างน้อยภาพที่เห็น นอกจากตำรวจแล้ว ยังไม่เคยมีผู้นำกองทัพคนใด ที่วิ่งเข้าไปยอมสยบ“ทักษิณ ชินวัตร”นับตั้งแต่กลับเข้ามา“ติดคุกทิพย์”ในประเทศไทยจนกระทั่งได้รับการพักโทษ
เจ้าของคอกแสดงท่าทีเช่นนั้น นายสุทิน คลังแสง ย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่า ไม่มีเป็นอื่นนอกจาก“พลิกดินสู่สภาฯ”ด้วยเหตุผลตามข่าวถูกปล่อยออกมา เป็นการโยนหินถามทางของพรรคเพื่อไทยว่าบทบาทนายสุทินเหมาะสมกับงานในสภาฯ ที่เวลานี้ขาดตัวผู้เล่นระดับ“ฝีปากเอก“ในการต่อกรกับพรรคฝ่ายค้าน
แนวโน้มคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทนนายสุทิน คลังแสง ก็คือนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จะนั่งเก้าอี้ควบกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนอกจากจะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงตามอำนาจการตัดสินใจของ“นายใหญ่”ที่เป็นเจ้าของคอก และในฐานะผู้กำหนดเกมบน“กระดานแห่งอำนาจ”แล้ว ก็เพื่อที่จะเปิดทางให้“พิชัย ชุณหวชิร”ขึ้นมาเป็น“ขุนคลัง”หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทนนายเศรษฐาที่นั่งควบเก้าอี้อยู่ในเวลานี้
“พิชัย ชุณหวชิร” วัย 76 ปี ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นสายตรงของนายใหญ่และนายหญิงแห่ง“บ้านจันทร์ส่องหล้า” และมีชื่อชั้นเป็นประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนั้นทุกวันนี้ยังนั่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในอดีตก็ยังเคยเป็นกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย
ที่สำคัญเหนืออื่นใดต้องหมายเหตุไว้ตรงนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร เคยเป็นพยานคนสำคัญให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยยิ่งลักษณ์ได้ขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียกนายพิชัยเข้ามาให้ปากคำในคดีนี้ ซึ่งยิ่งลักษณ์อ้างว่า นายพิชัยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่ได้รับการยอมรับของผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านบัญชี และเป็นบุคคลภายนอกที่มิได้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องกับตน
สรุปภาพทั้งหมด การเมืองเรื่องอำนาจ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเรื่องของ“ทักษิณ โดยทักษิณ เพื่อทักษิณ”แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี