มัวมะงุมมะงาหราบ้าบอเคาะกะลาอยู่กับ “นโยบายเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท” กับคาถาวิปลาส “วิกฤตเศรษฐกิจ, ประชาชนอับจนข้นแค้น,
อดอยากปากแห้ง ไม่มีอันจะกิน” ซ้ำซากกว่า 7-8 เดือนจนไม่คิดไม่นึกไม่ตริตรอง “มรดกบรรพบุรุษ”
ข้อมูลตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกมีมูลค่า 60,165.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในภูมิภาคเอเชียถึง 57.6% อเมริกา 22.1% ยุโรป 18% ตะวันออกกลาง 1.5% ออสเตรเลีย 0.9% ประเทศไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพร ติดอันดับ 7 ของของโลก
ส่วนภูมิภาคเอเชียประเทศไทยมีขนาดตลาดสมุนไพรเป็นอันดับ 4 รองจากประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ในขณะที่ไทยเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ในตลาดโลกยังไม่ติด 1 ใน 10 เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านมาตรฐานการผลิตอย่างไรก็ดียังพบมูลค่าการส่งออกสมุนไพรยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ สมุนไพร มีมูลค่าตลาดถึง 54,739 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 และคาดการณ์ว่าในปี 2569 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 70,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐส่วนหนึ่งมาจากการถูกนำมาใช้ในการรักษาโควิด-19จนได้รับความนิยมและความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งยังพบข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่คาดการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 59,500 ล้านบาท ภายในปี 2569
ทั้งยังพบว่ากว่า 70% ต้องการผลิตภัณฑ์ สมุนไพรทางเลือกที่สามารถปรับสมดุลในร่างกาย โดยเน้นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากธรรมชาติและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรออร์แกนิค
ทว่า “หนูน้อยถุงเท้าแดง - เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีนอมินีเพิ่งหูตาสว่างประเทืองปัญญาจนเกิดสติ เกิดความฉลาด คิดได้หรือได้รับบัญชาจากผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลก็ตาม จึงสั่งการส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย : สร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจต่อยอดการผลิตสินค้าจากสมุนไพรไทย ผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดโลก ในฐานะ “สินค้าซอฟต์พาวเวอร์” ของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยในตลาดโลก เพื่อให้เท่าทันการคาดการณ์ตลาดสมุนไพรโลกภายในปี 2573 ที่คาดว่ามูลค่าตลาดพุ่งไปสูงถึงกว่า 3 ล้านล้านบาท
แต่ก็ยังดีที่คิดได้ ที่ตื่นจากหลับไหล ผลักดัน “มรดกบรรพบุรุษ”ให้ได้รับการต่อยอดวิจัยเป็นสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ที่ครองตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิใจ
“แนวหน้า”เคยนำเสนอข้อมูล “สมุนไพร” กระตุ้นให้ กระทรวงสาธารณสุขเกิดสามัญสำนึกในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาแล้ว ภายหลังที่มีการค้นพบว่าสมุนไพรไทย “ฟ้าทะลายโจร”มีคุณค่าคุณภาพในการยับยั้งรักษาอาการป่วยได้ ทว่าเสนาบดีผู้รับเหมากลับไม่สนใจดำเนินการใดๆ ทั้งที่มีการทำ “แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรฉบับที่ 1 (ปีพ.ศ.2560-2564)”มีการประกาศใช้ มีการเตรียมทุกอย่างพร้อมสรรพ ขาดแต่เพียงความจริงจังจริงใจจากนักการเมือง,ข้าราชการประจำและผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงจนไม่มีความคืบหน้าใดๆให้เห็นผล
เมื่อรัฐบาลประเทืองปัญญาในเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างตัดสินใจหยิบยกแผนงานต่างๆ ที่มีการกำหนดเตรียมการไว้มาดำเนินการด้วยงบประมาณที่ไม่สูงเสียดฟ้ากว่า 500,000 ล้านบาทวิจัยต่อยอดพัฒนาสมุนไพรไทยที่เป็น “สินค้าซอฟต์พาวเวอร์ทั้งในแง่ของยา,อาหารเสริมทั้งการบริโภคภายในประเทศ และส่งออกเพื่อชิงมูลค่าการตลาดหลายหมื่นล้าน
เริ่มจากระดมปราชญ์ชาวบ้านที่ถือตำรับยาแผนไทย มาขึ้นทะเบียนจดลิขสิทธิ์ป้องกันมรดกตกทอดของปราชญ์ชาวบ้านเหล่านั้นรั่วไหล แล้วพัฒนาตำรับยานั้นๆ จนสามารถตีตลาดโลก
มีสติคิดได้ แม้จะช้าไปสักนิด เริ่มต้นดีกว่า คนประเภท “มือไม่พาย เอาตีนราน้ำ” ในกระทรวงสาธารณสุข
“สันติ พร้อมพัฒน์”เคยทำอะไรไว้จำได้ไหม ทำแล้ว ทำต่อ ทำอีก จะเป็นไร
ในเมื่อ เกษตรกรไทยได้ประโยชน์ ประเทศชาติไม่ต้องกู้หนี้เพิ่มฤๅไม่ใช่ทางหาผลประโยชน์รัฐบาลนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี