ทำไม ปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยกะทันหัน ซึ่งหลายคนวิพากษ์ว่าลาออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่จริงๆ แล้วคนวงในที่อยู่ใกล้ตัวปานปรีย์ต่างบอกว่าการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีมีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการแสดงให้สาธารณชนเห็นชัดว่าลาออกเพื่อประท้วงการปรับตนเองออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
ถามว่าทำไมปานปรีย์ ซึ่งสนิทกับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และอดีตภรรยาของนักโทษชายทักษิณ คือคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ดามาพงศ์ จึงไม่เข้าไปพูดคุยต่อรองเพื่อยื้อตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีกับนักโทษชายทักษิณ หรืออดีตภรรยาของนักโทษชายทักษิณ เพราะการปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการตัดสินใจของนักโทษชายทักษิณ แต่เมื่อได้อ่านจดหมายที่ปานปรีย์ ส่งถึงเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปานปรีย์ก็บอกชัดๆ ว่า ตนเองไม่ใช่คนที่ต้องไปเจรจาต่อรองขอตำแหน่งกับใคร
ในจดหมายลาออกของปานปรีย์ เขาเขียนชัดเจนว่าเขาตั้งใจทำงานอย่างหนักในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และงานที่ทำก็ประสบความสำเร็จอย่างดีหลายประการ อาทิ การเจรจากับรัฐบาลนานาชาติ การเจรจากับนักลงทุนต่างชาติ การทำงานเพื่อช่วยเหลือคนงานไทยในอิสราเอลที่ถูกจับเป็นตัวประกัน และคนงานไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเมียนมา ในเขตเมืองเล่าก์ก่าย ให้ได้อิสรภาพ หลังจากถูกจับเป็นตัวประกัน และที่สำคัญคือปานปรีย์บอกว่าตนเองได้ไปเจรจาเพื่อให้คนไทยได้ visa free จากประเทศต่างๆ หลายประเทศ โดยปานปรีย์บอกว่าตนเองทำงานได้ประสบความสำเร็จ ทำให้ไทยกลับมาเป็นที่สนใจของนานาชาติมากกว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ดังนั้น การถูกริบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จึงไม่ได้มีสาเหตุมาจากการทำงานล้มเหลว หรือผิดพลาด แต่เกิดมาจากเหตุปัจจัยอื่น
หลังจากปานปรีย์ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็น่าจะก่อให้เกิดปัญหาการติดตามการทำงานด้านกิจการระหว่างประเทศของไทยที่ถูกดำเนินการไว้โดยปานปรีย์ แม้จะยังไม่มีหลักฐานใดๆ ปรากฏเป็นรูปธรรมมากนัก เพราะเรื่องการช่วยตัวประกันคนไทย ก็ยังไม่ปรากฏว่าคนไทยทั้งหมดได้กลับประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเจรจาการค้ากับนักลงทุนต่างประเทศก็ยังไม่พบว่ามีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย แต่ก็ต้องบอกว่าเนื้อหาในจดหมายลาออกของปานปรีย์ก็เป็นการแก้ตัวว่าตนเองทำงานอย่างหนัก และทำงานดี แต่ต้องย้ำว่าในข้อเท็จจริงยังไม่มีผลงานใดๆ ปรากฏชัด
แต่การลาออกของปานปรีย์บ่งบอกได้ประการหนึ่งคือ ไม่มีการพูดคุยกันให้ชัดเจนก่อนจะปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด เพราะหากพูดคุยกันอย่างชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ปานปรีย์ต้องลาออก คำถามคือ ทำไมก่อนปรับคณะรัฐมนตรี จึงไม่พูดคุยกันให้ชัดเจนว่าจะโยกย้ายหรือแต่งตั้งใครให้ไปอยู่หรือให้หลุดจากเก้าอี้ตำแหน่งรัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ รวมถึงเก้าอี้ของรองนายกรัฐมนตรีด้วย
การที่ปานปรีย์ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไม่เหลือรัฐมนตรีแม้แต่คนเดียว เพราะปานปรีย์ลาออกแล้ว ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จักรพงษ์ แสงมณี ก็ถูกโยกไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นี่คือปัญหาใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศในยุคนี้ เพราะเมื่อไม่มีรัฐมนตรีดูแลกระทรวง ก็หมายความว่าต้องปล่อยให้ปลัดกระทรวง และผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทำงานไปโดยปราศจากบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
กระทรวงการต่างประเทศของไทยในช่วงวันที่ 28 เมษายน 2567 ได้กลายเป็นกระทรวงที่ไม่มีรัฐมนตรีดูแลกิจการของกระทรวง ไม่มีทั้งรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศของไทยในยุคนี้จึงเป็นยุคไร้หัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่าการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้เป็นการปรับแบบมั่วๆ มึนๆ เพราะเกิดมาจากการที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีหลายคน แม้จะอ้างว่ามีนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวคือเศรษฐา แต่คอการเมืองรู้ดีว่านายกรัฐมนตรีไทยในยุคนี้มีอย่างน้อย 2-3 คน เมื่อประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีพร้อมๆ กันหลายคนในขณะเดียวกัน ก็คือ ปรากฏการณ์มากหมอ มากความและก็ยังมีการวิพากษ์อีกว่าการตัดสินใจลาออกของปานปรีย์ครั้งนี้อาจจะมีมูลเหตุร่วมมาจากความไม่พอใจของปานปรีย์ที่มีต่อเศรษฐามาตั้งแต่ต้นก็เป็นได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี