นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตสส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ขอให้มีการตรวจสอบและให้คำแนะนำต่อรัฐบาลนายกฯเศรษฐา ทวีสิน จากการมีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet)
เนื้อหาสำคัญตอกย้ำถึงที่มาของเงินดิจิทัล ว่า 1. ตัดลดงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 172,300 ล้านบาท,2. ขยายการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,900 ล้านบาท,3. พิจารณาขอยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน175,000 ล้านบาท เพื่อเอาไปใช้ในโครงการดังกล่าว
ทั้งให้เหตุผลประกอบว่า ประเด็น การตัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 จำนวน 172,300 ล้านบาท จะมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบงบประมาณ ซึ่งล่าช้ามากว่าครึ่งค่อนปีแล้ว ทำให้เงินหมุนเวียนของรายจ่ายลดลง วิธีการแบบนี้จะเป็นเสมือนหนึ่ง คนไข้ต้องการเลือด แทนที่หมอจะไปนำเลือดจากภายนอกมาฉีดให้ กลับสูบเลือด จากคนไข้เพื่อฉีดกลับเข้าไปใหม่ จึงไม่มีผลสุทธิในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่อ้างแต่ประการใด และยังมีความเสียหายจากความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ทั้งที่ หน่วยงานราชการต่างๆ เตรียมการเบิกจ่ายแล้วตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
ประเด็น การขยายวงเงินขาดดุล 152,900 ล้านบาท และต้องก่อหนี้เงินกู้ทั้งจำนวนเพื่อมาใช้ ก็จะมีลักษณะเดียวกับข้อเสนอก่อนหน้าที่จะมีการตรา พ.ร.บ.กู้เงิน และได้รับเสียงคัดค้านจึงต้องพับเรื่องการตรา พ.ร.บ. ออกไป สำหรับวงเงินงบประมาณ พ.ศ. 2568 คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 อนุมัติตามที่ 4 หน่วยงานนำเสนอในการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายไว้ 3,600,000 ล้านบาทขาดดุล 713,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอำนาจตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 แต่จากการประชุมของ 4 หน่วยงาน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 ใช้เวลาเพียง 20 นาที
จึงเป็นการรวบรัดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ด้วยการให้ก่อหนี้เพิ่มเต็มจำนวนที่เพิ่ม จึงทำให้ต้องขาดดุลเพิ่มเป็น 865,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดดุลงบประมาณที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยมีการนำเสนอวงเงินงบประมาณของประเทศ จึงอาจส่งผลในทางการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีจำกัด เพราะรัฐบาลต้องไปออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินจากระบบธนาคาร ทำให้วงเงินที่ธนาคารจะปล่อยให้กู้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจลดลง ดังนั้นสินเชื่อครัวเรือนและธุรกิจจะมีความฝืดเคืองมากขึ้น เพราะรัฐบาลดึงเงินในระบบออกไปใช้เป็นจำนวนมหาศาล
ประเด็น การยืมเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 175,000 ล้านบาท จะมีผลทำให้ ธ.ก.ส. ไม่สามารถให้สินเชื่อแก่เกษตรกรตามภาระหน้าที่ของธ.ก.ส.ตามกฎหมาย จากงบการเงิน ธ.ก.ส.ล่าสุดปรากฏว่า ธ.ก.ส.มีเงินสดเพียง 20,000 ล้านบาท หากจะให้รัฐบาลยืมเงิน จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีปัญหาข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ ก็จะทำให้ ธ.ก.ส. ต้องเรียกคืนเงินสินเชื่อเกษตรกรและการลงทุนอื่นของ ธ.ก.ส. กลับมา ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรที่ถูกเรียกเงินคืน และจะไม่มีเงินสินเชื่อใหม่ให้แก่เกษตรกร อันจะเป็นการสร้างความเสียหายอย่างมากแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
หากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว รีบให้คำแนะนำต่อรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงิน การคลังของรัฐ หรือให้คำปรึกษา แนะนำ หรือเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐรวมทั้งการให้คำแนะนำแก่หน่วยงานของรัฐในการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับ การใช้จ่ายเงินแผ่นดินต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี