ก่อนจะไปต่อต้องขออภัยที่นำขี้ปากที่เน่าเหม็นของนักการเมืองสามานย์ ที่ปั้นวาทกรรมสำรอกสำรากวิพากษ์วิจารณ์ใส่ความรัฐบาลที่ถูกบลูลี่ว่า“รัฐบาลรปภ.โง่” ภายใต้การบริหารของ “ลุงตู่ -พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่29 ภายหลังการปฏิวัติสยามในปี พ.ศ.2475 โดย “คณะราษฎร์” อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
พรรคร่วมฝ่ายค้านของสภาฯชุดที่ 25 (จะมีไฟลัมไหนหมู่ไหนสังฆกรรมอยู่บ้าง สังคมไทยคงจำได้เป็นอย่างดี)ต่างปั้นวาทกรรมสำรอกสำรากวิพากษ์วิจารณ์ใส่ความว่า การดำเนินการของรัฐบาลขณะนั้น“ทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ซื่อสัตย์-ไร้ภูมิปัญญา-ไร้องค์ความรู้-ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ”
ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้สินในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ล้วนขาดยุทธศาสตร์และการปฏิบัติที่ตรงเป้าหมาย
เราจำได้ว่าส่วนหนึ่งในญัตติที่ยื่นซักฟอกตามมาตรา 152 ระบุว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีพฤติกรรมที่ทำลายความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ, ปล่อยปละละเลยให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเอารัดเอาเปรียบประชาชน ระบบราชการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเกิดการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
รัฐบาลรปภ.โง่เฉยเมยต่อการ “เร่งฟื้นฟู” หลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างจริงจังจริงใจ ทว่าตรงข้ามเกิดการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม ทำลายหลักความเสมอภาคเท่าเทียมทางกฎหมายและการเมือง ไม่จริงใจต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การลดความเหลื่อมล้ำ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานการปฏิรูปกองทัพ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาการศึกษา และปัญหาสิ่งแวดล้อมการดำเนินการแก้ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และความเดือดร้อนของประชาชนเกิดความผิดพลาด ไร้ความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน การดำเนินนโยบายต่างประเทศยังไม่สามารถฟื้นฟูบทบาทสำคัญของประเทศไทยในเวทีโลกได้
หากปล่อยให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถไร้เป้าหมาย ไร้จริยธรรม และไร้วุฒิภาวะต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูสภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมได้ นี่คือญัตติที่พรรคร่วมฝ่ายค้านในขณะนั้นปั้นวาทกรรมสำรอกสำรากวิพากษ์วิจารณ์ใส่ความรัฐบาลในขณะนั้น
แล้วเกิดอะไรกับประเทศไทย สังคมไทยในเวลาต่อมา
อย่าลืมว่า ... “คุณค่าคนอยู่ที่ผลของงาน”
ตลอดเกือบทศวรรษที่รปภ.โง่ภายใต้การบริหารประเทศของ “ลุงตู่ - พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”สังคมไทยไม่ได้สูญหายไปจากสังคมโลกเลยสักนิด กลับได้เครดิตเป็นที่ยกย่องเชิดชูในหลายด้านด้วยซ้ำทั้งการแก้ไขวิกฤตการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา,การฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว,การลงทุนด้านสาธารณูปโภคจนทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นประเทศที่น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ โดยศึกษาให้คะแนนหลายด้าน อาทิ 1.อสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ, 2.มีค่าครองชีพที่ย่อมเยา, 3.ธรรมาภิบาล หรือ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ต้องเอื้อให้เกิดการพัฒนาให้ดีขึ้น นั่นคือบทสรุปในยุครัฐบาลรปภ.โง่ที่ฝ่ายค้านบูลลี่
หาก 8-9 ปียุคลุงตู่ที่ผ่านมาผลลัพธ์คือ “ทศวรรษที่สูญหาย … ของประเทศไทย”
นโยบายและแนวนโยบายของรัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566
ก่อความสูญหาย หรือสร้างหายนะกับ “สังคมไทย” จะให้ประดิษฐ์วาทกรรมว่าอย่างไร !?!?!
จำไว้ทุกการลงทุนต้องใช้ระยะเวลา ความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อันนำมาซึ่งความสำเร็จ
ความสำเร็จจึงกำลังเริ่มผลิดอกออกผลในวันนี้และวันข้างหน้าเพื่อคนไทยทุกคน
นั่นคือรัฐบาลที่ยึดถือประชาชนเป็นหลักวางรากฐานอนาคต ไม่ใช่รัฐบาลที่หวังผลระยะสั้นทางการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี