วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ก่อนจะไปต่อต้องขออภัยที่นำขี้ปากที่เน่าเหม็นของนักการเมืองสามานย์ ที่ปั้นวาทกรรมสำรอกสำรากวิพากษ์วิจารณ์ใส่ความรัฐบาลที่ถูกบลูลี่ว่า“รัฐบาลรปภ.โง่” ภายใต้การบริหารของ “ลุงตู่ -พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่29 ภายหลังการปฏิวัติสยามในปี พ.ศ.2475 โดย “คณะราษฎร์” อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
พรรคร่วมฝ่ายค้านของสภาฯชุดที่ 25 (จะมีไฟลัมไหนหมู่ไหนสังฆกรรมอยู่บ้าง สังคมไทยคงจำได้เป็นอย่างดี)ต่างปั้นวาทกรรมสำรอกสำรากวิพากษ์วิจารณ์ใส่ความว่า การดำเนินการของรัฐบาลขณะนั้น“ทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ซื่อสัตย์-ไร้ภูมิปัญญา-ไร้องค์ความรู้-ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ”
ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้สินในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ล้วนขาดยุทธศาสตร์และการปฏิบัติที่ตรงเป้าหมาย
เราจำได้ว่าส่วนหนึ่งในญัตติที่ยื่นซักฟอกตามมาตรา 152 ระบุว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีพฤติกรรมที่ทำลายความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ, ปล่อยปละละเลยให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเอารัดเอาเปรียบประชาชน ระบบราชการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเกิดการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
รัฐบาลรปภ.โง่เฉยเมยต่อการ “เร่งฟื้นฟู” หลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างจริงจังจริงใจ ทว่าตรงข้ามเกิดการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม ทำลายหลักความเสมอภาคเท่าเทียมทางกฎหมายและการเมือง ไม่จริงใจต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การลดความเหลื่อมล้ำ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานการปฏิรูปกองทัพ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาการศึกษา และปัญหาสิ่งแวดล้อมการดำเนินการแก้ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และความเดือดร้อนของประชาชนเกิดความผิดพลาด ไร้ความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน การดำเนินนโยบายต่างประเทศยังไม่สามารถฟื้นฟูบทบาทสำคัญของประเทศไทยในเวทีโลกได้
หากปล่อยให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถไร้เป้าหมาย ไร้จริยธรรม และไร้วุฒิภาวะต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูสภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมได้ นี่คือญัตติที่พรรคร่วมฝ่ายค้านในขณะนั้นปั้นวาทกรรมสำรอกสำรากวิพากษ์วิจารณ์ใส่ความรัฐบาลในขณะนั้น
แล้วเกิดอะไรกับประเทศไทย สังคมไทยในเวลาต่อมา
อย่าลืมว่า ... “คุณค่าคนอยู่ที่ผลของงาน”
ตลอดเกือบทศวรรษที่รปภ.โง่ภายใต้การบริหารประเทศของ “ลุงตู่ - พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”สังคมไทยไม่ได้สูญหายไปจากสังคมโลกเลยสักนิด กลับได้เครดิตเป็นที่ยกย่องเชิดชูในหลายด้านด้วยซ้ำทั้งการแก้ไขวิกฤตการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา,การฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว,การลงทุนด้านสาธารณูปโภคจนทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นประเทศที่น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ โดยศึกษาให้คะแนนหลายด้าน อาทิ 1.อสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ, 2.มีค่าครองชีพที่ย่อมเยา, 3.ธรรมาภิบาล หรือ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ต้องเอื้อให้เกิดการพัฒนาให้ดีขึ้น นั่นคือบทสรุปในยุครัฐบาลรปภ.โง่ที่ฝ่ายค้านบูลลี่
หาก 8-9 ปียุคลุงตู่ที่ผ่านมาผลลัพธ์คือ “ทศวรรษที่สูญหาย … ของประเทศไทย”
นโยบายและแนวนโยบายของรัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566
ก่อความสูญหาย หรือสร้างหายนะกับ “สังคมไทย” จะให้ประดิษฐ์วาทกรรมว่าอย่างไร !?!?!
จำไว้ทุกการลงทุนต้องใช้ระยะเวลา ความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อันนำมาซึ่งความสำเร็จ
ความสำเร็จจึงกำลังเริ่มผลิดอกออกผลในวันนี้และวันข้างหน้าเพื่อคนไทยทุกคน
นั่นคือรัฐบาลที่ยึดถือประชาชนเป็นหลักวางรากฐานอนาคต ไม่ใช่รัฐบาลที่หวังผลระยะสั้นทางการเมือง

เปิดใจ! อาสากู้ภัยนำข้าวแจกชาวบ้าน ถูกน้ำพัดหาย ยันไม่ท้อ กลับมาช่วยต่อ ส่งข้าวกล่องใหม่ 200 ชุด
'HP'เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่6,000ตำแหน่งทั่วโลก หวังลดค่าใช้จ่ายรับยุคของAI
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ 'เขมวันต์ สงคราม' เป็นพลเรือเอก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
หมอสมเกียรติ คลินิกดังกระบี่ เปิดคลินิกรักษาฟรี2วัน ส่งต่อทุกบาทช่วยน้ำท่วม
‘อนุทิน’เยี่ยมศูนย์ อพยพ ม.อ.หาดใหญ่ สั่งเร่งระดมช่วยคนติดค้าง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี