นอกจากเรื่อง“อุทยานแห่งชาติทับลาน”ที่กำลังจะถูกนักการเมืองฉ้อฉลปล้นผืนป่าไปสนองประโยชน์ตนเองและนายทุนเจ้าของรีสอร์ทแล้ว
อีกเรื่องหนึ่ง คือการที่รัฐบาลซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นนายกรัฐมนตรี..กำลังจะแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม..จากร้อยละ 49 เป็นร้อยละ 75..และขยายการเช่าที่ดินหรือที่เรียกว่า“ทรัพย์อิงสิทธิ”จาก 30 ปีเป็น 99 ปี..ซึ่งกล่าวโดยรวมก็คือ..“ให้ต่างชาติถือครองคอนโดฯได้ร้อยละ 75-ให้เช่าที่ดินได้ 99 ปี”นั้น
เรื่องนี้แม้รัฐบาลจะบอกว่าไม่ใช่เป็นการขายชาติขายแผ่นดินกิน..แต่ผลที่จะตามมาก็คล้ายการการขายชาติขายแผ่นดินกิน..โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือทุนใหญ่เจ้าของธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่กี่ตระกูล..ที่เห็นๆ อยู่ในเวลานี้ ก็มีตระกูลแสนสิริ และตระกูลชินวัตร และพวกพ้องวงศ์วานว่านเครือที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้
ย้อนทวนความจำกันอีกนิด..เรื่องนี้เป็นมติเห็นชอบจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567..ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในที่ประชุมแทนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่อ้างว่า“ติดโควิด”จึงขอลาป่วย..และที่ประชุม ครม.ในวันนั้นได้มีมติให้กระทรวงมหาดไทยไปศึกษาความเป็นไปได้..ตลอดจนพิจารณาทบทวนแก้ไขกฎหมายและกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
จากนั้นในวันที่ 20 มิถุนายน 2567 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือด่วนที่สุด..เรื่อง “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์” ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้รับลูกดำเนินการต่อ..โดยอ้างถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์..และการเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมือง แห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision)
หนังสือด่วนที่สุดของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีฉบับนี้ลงนามโดยนางสาวสาวิตรี ชำนาญกิจ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี..ระบุว่า“ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (วันที่ 9 เมษายน 2567) เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์..โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษามาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น..เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาค..ตลอดจนดึงดูดนักลงทุนขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย..โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งเสริมการเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ..จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยศึกษาความเป็นไปได้”
ความเป็นไปได้ที่กระทรวงมหาดไทยจะต้องพิจารณาศึกษาหาข้อสรุปตามหนังสือด่วนที่สุดของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี..มีสองประการที่สำคัญคือ
ประการแรก—พิจารณาทบทวนการกำหนดระยะเวลาของทรัพย์อิงสิทธิตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ.2562 โดยกำหนดให้ทรัพย์อิงสิทธิมีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 99 ปี
ประการที่สอง—พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิคนต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด..จากเดิมไม่เกินร้อยละ 49 เป็นไม่เกินร้อยละ 75..โดยอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น การจำกัดสิทธิการออกเสียงของคนต่างด้าว..และนิติบุคคลต่างด้าวที่ได้เข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในภายหลังจากที่เกินอัตราส่วนร้อยละ 49
และนอกจากนั้น..ในหนังสือด่วนฉบับนี้ ยังระบุด้วยว่า “หากมีความจำเป็นต้องตราหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายประการใดเพื่อรองรับการดำเนินการในเรื่องนี้..ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว..โดยให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย..และเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน จะออกมายืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้แก่ชาวต่างชาติและทุนใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์..หากแต่เป็นมาตราการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ..แต่คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้กินหญ้ากินแกลบ..เมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ
ด้วยเหตุที่ทุกคนเขาเห็นต้องตรงกันว่า..นอกจากทุนใหญ่เจ้าของโครงการที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่ตระกูลจะได้ประโยชน์แล้ว..การแก้กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิโดยขยายระยะเวลาให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี จากเดิมที่ไม่เกิน 30 ปีนั้น..ก็ไม่ต่างจากการขายแผ่นดินให้แก่ชาวต่างชาติ
โดยที่นานวันเข้า, จังหวัดใหญ่ๆ ที่เป็นทั้งเมืองหลักและเมืองรองของประเทศไทย..ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา, หัวหิน, กระบี่ และรวมทั้งกรุงเทพฯเมืองหลวงของประเทศไทย..ก็อาจจะกลายเป็น“สภาพนอกอาณาเขต”..หรือ“สิทธิสภาพนอกอาณาเขต”ในทางพฤตินัยให้แก่ชาวต่างชาติไปโดยปริยาย
อย่างที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ เวลานี้..คนเขารู้กันทั้งเมืองว่า ไม่ว่าจะเป็นห้องชุด หรือหมู่บ้านจัดสรรโครงการต่างๆ..คนจีนได้เข้ามาครอบครองและอยู่อาศัยด้วยการใช้“เงินสด”ซื้อยกโครงการกันเต็มไปหมด..ลักษณะเดียวกันกับที่“แก๊งตู้ห่าว”ซื้อยกโครงการบ้านเดี่ยวย่านสุขุมวิท ของ"แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขุมวิท"ที่เคยเป็นข่าวครึกโครมก่อนหน้านี้
ถึงขนาดเรียกันว่าเป็น“มณฑลใหม่”ของคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่เลยก็ว่าได้..โดยคนจีนเหล่านี้เข้ามาอยู่กันเป็นครอบครัว..ใช้วิธีให้ลูกหลานมาเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ..และญาติพี่น้องผู้ปกครองก็ใช้สิทธิอยู่อาศัยในฐานะผู้ติดตาม..ขณะเดียวกันทุกหมู่บ้านหรือทุกโครงการ..ล้วนมีมินิมาร์ทเปิดขายของให้แก่คนจีนด้วยกันเอง
ดังนั้น คนไทยที่ไม่ได้กินหญ้ากินแกลบจึงเห็นว่า..การที่จะทบทวนแก้ไขกฎหมายเพื่อ“ให้ต่างชาติถือครองคอนโดฯได้ร้อยละ 75-ให้เช่าที่ดินได้ 99 ปี”..ก็คือการ“กระตุ้นเศรษฐกิจ”เพื่อเข้ากระเป๋าทุนใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่ตระกูล..เป็นการ“ขายชาติ-ขายแผ่นดิน”กินนั่นเอง !!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี