ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่าการสรรหา หรือการเลือกกันเองระหว่างผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ครั้งล่าสุดของไทยนั้นยังคงเต็มไปด้วยปัญหา และความโกลาหล ความไม่สะอาด ความไม่โปร่งใส และยังดูเสมือนว่าคนบางคนที่ได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าเป็น สว. แล้ว แต่ก็ยังคงมีคำถามอีกมากมาย อาทิ ระบุคุณสมบัติเกินจริงหรือไม่ หรือมีการแจกโพยให้เลือกหรือไม่ ฯลฯ
แต่ไม่ว่าจะมีเสียงครหา หรือมีคำถามมากมายสักเพียงใด แต่ทว่า กกต. ก็ยังคงยืนยันว่าคนที่ได้รับการรับรองมีคุณสมบัติครบถ้วน และได้เป็น สว. ไปแล้ว แต่หากตรวจพบรอยตำหนิในอนาคต ก็จะสอยลงจากตำแหน่ง แต่คำถามคือจะสอยเมื่อไร เพราะว่ามีคนยืนยันว่า สว. หลายคนมีตำหนิ และน่าจะเรียกได้ว่ามีความไม่โปร่งใสในการเข้าสู่ตำแหน่ง สว.
ในการลงมติเลือกประธานวุฒิสภาเมื่อวันอังคาร ได้เกิดเรื่องประหลาดมหัศจรรย์อีกจนได้ คือจำนวน สว. มีทั้งหมด 200 คน แต่นับบัตรลงคะแนนได้ 201 ใบ ซึ่งต้องบอกว่ามหัศจรรย์สุดๆ แต่ที่ต้องบอกว่าเกินมหัศจรรย์คือ มันเป็นเรื่องน่าอัปยศจริงๆ เพราะ สว. ที่เข้าไปในสภาในครั้งนี้ไม่มีคนไหนที่มีสถานภาพเป็นเด็กอีกแล้ว แต่ทว่าก็ยังคงเกิดเรื่องที่สุดอัปยศจนได้นี่ขนาดแต่ละคนมีอายุอานามมากแล้ว และก็ถือได้ว่ามีประสบการณ์มาก แต่ก็ยังมีเรื่องพิสดารเกิดขึ้นได้
และแล้ว ผลการเลือกสรรประธานวุฒิสภาก็เป็นไปตามคาดของคอการเมืองและนักข่าว คือมงคล สุระสัจจะ ได้รับตำแหน่งประธาน สว. ส่วนใครจะวิจารณ์ว่ามงคลมาจากสายสีน้ำเงิน ก็เป็นสิทธิ์ที่วิจารณ์ได้ เพราะเมื่อสืบค้นลงไปก็จะพบสายสัมพันธ์โยงใยกันระหว่างมงคลกับพรรคการเมืองสายสีน้ำเงิน และเป็นความโยงใยที่โยงกันมานานแล้ว มงคลเคยเป็นอธิบดีกรมการปกครอง และเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 คือ เกรียงไกร ศรีรักษ์ซึ่งตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาก็เป็นไปตามคาดของคอการเมืองอีกเช่นกัน
ประเด็นที่สังคมต้องติดตามต่อไปหลังจากนี้คือ สว. ที่มาจากกลุ่มการเมืองสีต่างๆ จะแสดงอิทธิฤทธิ์อย่างไร จะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคสีนั้นๆ อย่างไร จะใช้ สว. เป็นเครื่องมือในการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างไรกับรัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะตอนนี้คอการเมืองมองว่าพรรคสีน้ำเงินจะใช้ สว. ต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างไร
แล้วประเด็นที่ต้องตามต่ออย่างใกล้ชิดคือ สว.ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในการกรอกข้อมูลรับสมัคร ก็ต้องถูกลงโทษด้วย และต้องลงโทษอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าจงใจโกหก และอวดอ้างสรรพคุณเกินเหตุ ซึ่งต้องปรับให้ขาดจากการเป็น สว. โดยพลัน เพราะถือว่าสารตั้งต้นผิด และเป็นความผิดที่เกิดจากความจงใจเป็นสำคัญ
หากไม่สามารถสร้างศรัทธาให้หมู่ประชาชนให้มีต่อ สว. ชุดล่าสุดได้ รับรองว่าความน่าเชื่อถือทางการเมืองของไทยโดยภาพรวมจะต้องพังพินาศ และจะนำไปสู่ปัญหาโกงกิน คอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร เพราะคอการเมืองมองตรงกันว่า สว. จำพวกไม่โปร่งใสจะเข้าไปร่วมมือโกงบ้านกินเมืองกับ สส. และรัฐบาลที่จ้องจะโกงบ้านกินเมือง เราคงจะหวังให้ กกต. รับผิดชอบเรื่อง สว. เพียงลำพังไม่ได้ แต่เราทุกคนต้องร่วมกันจับ สว. จอมฉ้อฉลที่เล็ดลอดเข้าไปเป็น สว. ให้จงได้ ก่อนที่ทั้ง สว. จำพวกจอมโกง จะไปร่วมมือกับ สส. จำพวกจอมทุจริตกินบ้านเมืองของเราจนวอดวาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี