เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกลแล้ว การเมืองไทยจะดีขึ้นหรือเลวลง คำถามนี้ยังคงถูกถามเรื่อยๆ แต่ในมุมมองของคนไทยที่สนใจการเมืองตอบว่า ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะอยู่หรือไป การเมืองไทยก็ไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิม เพราะการเมืองไทยเป็นการเมืองที่ไม่ได้เน้นการทำประโยชน์ให้สังคมไทยอย่างแท้จริง แต่เป็นการแสวงหาอำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้เล่นการเมืองเป็นส่วนใหญ่
มาถึงคำถามต่อไป เศรษฐา ทวีสิน จะได้ อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ เรื่องนี้มีคำตอบที่หลากหลายคือ อาจจะอยู่ หรืออาจจะไป แต่เมื่อถามต่อไปว่า หากเศรษฐาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ใครจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คำตอบคำถามนี้ก็แสนจะยากมาก เพราะยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แล้วคณะรัฐมนตรีชุดเดิมก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปทั้งคณะ
แต่ถ้าหากเศรษฐายังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ก็หมายความว่าจะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน เพราะยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอยู่อีกหลายตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีนักการเมืองจำนวนมากต้องการเป็นรัฐมนตรี โดยนักการเมืองที่ว่านั้นมาจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มเจ้าของพรรค กลุ่มหัวคะแนน กลุ่มนายทุนพรรค และกลุ่มเพ้อฝันที่คิดว่าตนเองจะได้เป็นรัฐมนตรีกับเขาสักครั้งก่อนตาย แต่ไม่เคยคิดว่าเมื่อได้เป็นรัฐมนตรีแล้วจะทำประโยชน์อะไรให้บ้านเมืองบ้าง แต่ส่วนมากก็คิดแค่เพียงแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
มีคำถามเพิ่มเติมว่า ทำไมเมื่อรัฐบาลชุดนี้ ขึ้นมามีอำนาจรัฐ แล้วส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยตกลงอย่างต่อเนื่อง โดยบางวันดัชนีหุ้นไทยตกลงมาต่ำกว่า 1,300 จุด แต่ก็สามารถพลิกกลับมาอยู่ที่ระดับเกิน 1,300 จุด ได้ในวันต่อมา แล้ววันต่อมาก็ลดลงต่ำกว่า 1,300 จุดอีก พลิกกลับไปกลับมาแบบนี้มาโดยตลอดในระยะประมาณ 1-2 เดือนที่ผ่านมา แต่ต้องบอกว่าดัชนีหุ้นไทยนั้นมันเป็นเรื่องที่เกินความคาดเดา และคาดคิดของนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ฯเพราะมันมีปัจจัยที่มองไม่เห็นหลายตัว เพราะแค่มีข่าวลือบ้าๆ บอๆ เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ร่วงลง หรือถูกกระชากขึ้นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่สำหรับมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยก็ซบเซามาโดยตลอดนับตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาขึ้นมามีอำนาจ
และที่สำคัญคือ ตลาดหุ้นไทยนั้นตกลงมาโดยต่อเนื่อง โดยในยุคที่เศรษฐาเพิ่งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 1,600 จุด แต่มาบัดนี้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยขายหุ้นไทยทิ้งแล้วไปทำมาหากินในตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ ที่ให้กำไรดีกว่าตลาดหุ้นไทย โดยนักลงทุนต่างชาติมองว่าอนาคตของตลาดหุ้นไทยไร้อนาคต และราคาหุ้นในตลาดของไทยค่อยข้างแพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ
ปัจจัยต่อมาคือเศรษฐกิจไทยไม่ขยายตัว หรือขยายตัวต่ำมาก เมื่อนักลงทุนมองว่าหุ้นไทยแพงเกินไป แพงเกินจริง แล้วไม่มีแรงจูงใจให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก เมื่อเป็นแบบนี้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศก็พากันทิ้งตลาดหุ้นไทย โดยบางคนมองว่าการเมืองไทยเป็นปัจจัยสำคัญในการฉุดรั้งดัชนีหุ้นไทยด้วย
การเมืองกับเศรษฐกิจมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้งมาก การเมืองดีก็ส่งผลให้เศรษฐกิจดี การเมืองเลวก็ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเลวร้าย ส่วนปัจจัยที่ทำให้การเมืองดีหรือเลวก็มาจากประชาชน และนักการเมือง เพราะนักการเมืองมาจากประชาชน หากประชาชนเลือกนักการเมืองดีบ้านเมืองก็ดี เศรษฐกิจก็จะดีตามไปด้วย แต่ในมุมกลับกัน หากประชาชนเลือกนักการเมืองเลว การเมืองไทยก็จะเลว บ้านเมืองก็จะพบกับวิกฤตมากมายหลายประการ ในบางครั้งถึงกับเกิดเหตุมิคสัญญีกลียุคได้ด้วย
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาในที่นี้คือเครื่องยืนยันว่าการเมืองไทยเป็นการเมืองที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของคนเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะนักการเมือง หัวคะแนน นายทุนเจ้าของพรรคการเมือง และคนที่คุมเกมการเมืองไทยไว้ในกำมือได้ส่วนประชาชนนั้นเป็นแค่เพียงหมากการเมือง ยิ่งถ้าหากประชาชนโง่เขลาเบาปัญญามากเท่าไร ก็ตกเป็นเหยื่อการเมืองหนักหนาสาหัสมากขึ้นเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี