ด้วยความพยายามทำให้การเมืองสุจริตประเทศไทยปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 ถึงวันนี้มีการแก้ไขหรือร่าง รธน.ใหม่แล้ว 20 ฉบับ แต่เป็นเรื่องประหลาดใจไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหน ปราบเล่ห์เพทุบายนักการเมืองได้ ดังนั้น คำปรารภในรัฐธรรมนูญปี’60 ตอนหนึ่ง จึงต้องระบุว่า เหตุต้องปรับปรุงแก้ไขตามแก้ปัญหาเนื่องจากมีคนไม่นำพาต่อกฎหมาย ใช้เล่ห์เพทุบายทุจริต รัฐธรรมนูญ ปี’60 จึงเข้มงวดเรื่องทุจริต/ผิดจริยธรรม โดยการห้ามไม่ให้คนโกงที่ศาลตัดสินลงโทษจำคุกเด็ดขาดรับตำแหน่งการเมืองตลอดไป นอกจากนั้นรธน.ปราบโกงยังมีบทบัญญัติสำคัญด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล
รัฐธรรมนูญปี’60 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 จนวันนี้ ยังไม่ปรากฏนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีขึ้นศาลในข้อหาคอร์รัปชั่น นั่นแสดงว่าอย่างน้อยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ป้องปรามไม่ให้โกงกินมูมมามโฉ่งฉ่างได้ระดับหนึ่งหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะในห้วงเวลา 6 ปี ผ่านมาในสภา ไม่มีฝ่ายค้านต่อต้านคอร์รัปชั่นกันจริงจัง
อย่างไรก็หากมองในแง่ดี บทบัญญัติจริยธรรมและธรรมาภิบาล ใน รัฐธรรมนูญปี’60 แผลงฤทธิ์เป็นผลให้นักการเมืองฉ้อฉล เกิดความวิตกกังวลได้บ้าง หลังจากนักการเมืองอย่างน้อย 4 คน รวมทั้ง นายเศรษฐาทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีตรมช.ศึกษาธิการ ถูกศาลฯตัดสินให้พ้นจากหน้าที่ในความผิด ไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ#ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง นอกจากนายกฯและรมช.ศึกษาฯถูกประหารชีวิตทางการเมืองแล้ว ยังมี น.ส.ปรีณา ไกรคุปต์ อดีตสส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และน.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกตัดสิทธิ์การเมืองตลอดไปในความผิดฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงเช่นกัน
นักการเมืองสี่คนที่ศาลฯพิจารณาว่า ไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรงมีพฤติกรรมการทำความผิดแตกต่างกัน กรณีนายเศรษฐา ศาลฯวินิจฉัยว่าผิดที่แต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติตามคำบัญชานายใหญ่ น.ส.ปรีณา อดีตสส.ราชบุรี กับ นางกนกวรรณ อดีตรมช.ศึกษาฯ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงที่บุกรุกป่าสงวนยึดครองที่ดินรัฐเป็นของตน ส่วน น.ส.พรรณิการ์ถูกสังคมขุดคุ้ยว่าเธอมีพฤติกรรมกระทำความผิดตั้งแต่เพิ่งจบการศึกษาในวันรับปริญญา น.ส.พรรณิการ์ได้โพสต์รูปภาพและข้อความอันมิบังควรเข้าข่ายจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
กรณีน.ส.พรรณิการ์และนายเศรษฐา ได้สร้างความวิตกกังวลแก่นายกรัฐมนตรีใหม่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย กลัวว่า รัฐบาลชุดใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากทั้งนายกรัฐมนตรีและบิดามีข้อครหาที่สังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งข้อกล่าวหามากมายอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งหากถูกร้องขึ้นมา
และคงเป็นเพราะความวิตกกังวลทำให้พรรคเพื่อไทยระมัดระวังในการตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่รัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญสร้างมาตรฐานจริยธรรมการเมืองใหม่ โดยการวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นตำแหน่งนายกฯทำให้นักการเมืองสันหลังหวะสำเหนียกว่า ความหายนะกำลังใกล้เข้ามา ดังนั้น การตรวจสอบคุณสมบัติคณะรัฐมนตรีจึงต้องพิถีพิถันรอบคอบ ทุกแง่มุมกฎหมาย เป็นเหตุให้การแต่งตั้งครม.ล่าช้านับแต่วันที่ 15 สิงหาคม จนวันนี้ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ
แต่ถึงแม้พรรคเพื่อไทยระมัดระวังอย่างไร กรรมเก่ากรรมใหม่ตามทัน จนได้เมื่อมีคนไปร้องกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ยุบพรรคเพื่อไทยในความผิด ปล่อยให้บุคคลภายนอก “ครอบงำ ชักจูง ชี้นำพรรค” โดยที่ผู้ร้องไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ ทำให้พรรคเพื่อไทยอ้างว่า เป็นบัตรสนเท่ห์ธรรมดา ด้านนายทักษิณ ชินวัตร แสดงความอหังการท้าทายว่า“แน่จริงให้ร้องดังๆ”
และเมื่อได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความผู้ร้องพรรคก้าวไกล จนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไปแล้ว พบว่าการร้อง กกต.ครั้งนี้ อาจนำความหายนะมาสู่พรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ การให้สัมภาษณ์ทีวีไทยพีบีเอส นายธีรยุทธ เชื่อว่าผู้ร้องที่ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อท่านนี้มีความรอบคอบกล่าวคือเขาได้ทำเรื่องป้องกันไว้ต่อพ.ร.บ.ข่าวสารทางราชการเพื่อไม่ให้เปิดเผยชื่อผู้ร้องก่อนคดีความได้รับพิจารณาในศาลและร้องกกต.ให้สอบสวนยุบพรรคเพื่อไทยในเวลาเดียวกัน
ทนายธีรยุทธ์ให้สัมภาษณ์ระบุว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานแน่นหนาพอเอาผิดผู้ถูกร้องได้ เหมือนกับที่ทนายธีรยุทธร้องพรรคก้าวไกล คือ ยกคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล มาเป็นส่วนสำคัญในพยานหลักฐาน ทนายธีรยุทธระบุด้วยว่า พยานหลักฐานสำคัญในการยุบพรรคก้าวไกลคือที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ปราศรัยหาเสียงหน้าเทศบาลแหลมฉบัง ที่นายพิธากล่าวว่า “ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลขอติดสติ๊กเกอร์ต้องยกเลิก แต่ขอบอกน้องก่อนว่าเราจะแก้ไข ม.112 ในรัฐสภาก่อน แต่ถ้าเขาไม่ให้ เราก็ออกมาดำเนินการกับน้อง...” คำพูดของนายพิธาเป็นหลักฐานมาเปรียบเทียบที่มีบุคคลภายนอกให้โอวาทในที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยได้
เพื่อให้อ่านผู้พิจารณาว่า หากเรื่องร้องยุบพรรคไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ วิกฤตการณ์รัฐบาลเพื่อไทยเกิดขึ้นหรือไม่ จึงให้ท่านได้อ่านคำสัมภาษณ์ ทนายธีรยุทธเต็มๆ
โดยทนายธีรยุทธ ตอบคำถามผู้ประกาศข่าวว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ ท่านเคยวินิจฉัยไว้ว่า การครอบงำพรรคการเมืองทำได้ โดยทางอ้อมด้วย คือ บัญญัติไว้ในกฎหมาย..การที่พรรคการเมืองถูกบุคคลคนหนึ่ง ครอบงำ ชักจูงหรือ ชี้นำ เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวเป็นกิจกรรมทางการเมือง เรื่องดังกล่าวนี้ ซึ่งอยู่ในความหมายการกระทำโดยอ้อม คล้ายกับกรณีที่พูดถึงนอมินีคล้ายกัน...ขอยกตัวอย่าง พรรคก้าวไกล..กรณีคุณพิธาขึ้นปราศรัยหาเสียงที่เทศบาลแหลมฉบัง คุณพิธาได้กล่าวคำพูดก่อนติดสติ๊กเกอร์ ยกเลิก ม.112 ว่าผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลขอติดสติ๊กเกอร์ต้องยกเลิก แต่ขอบอกน้องก่อนว่า เราจะแก้ไข ม.112 ในรัฐสภาก่อน แต่ถ้าเขาไม่ให้ เราก็ออกมาดำเนินการกับน้อง... คำพูดทำนองนี้มันเชื่อมโยงกับน้อง ท่านกล่าวคำว่า ฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลแสดงว่ากรรมการบริหารพรรคก้าวไกลทราบ และสิ่งหนึ่งก็คือ..ศาลท่านบอกว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่สำคัญการควบคุมการเคลื่อนไหวดำเนินงานของสมาชิกพรรค ซึ่งหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคด้วย ดังนั้น เมื่อกรรมการบริหารพรรค มิได้ดำเนินการโต้แย้งคัดค้านท้วงติงคำพูดคุณพิธาอันนี้ คือ หลักฐานเชื่อมโยง
..เมื่อมาปรับเข้ากันกับกรณีมีผู้ร้องในขณะนี้ เท่าที่ทราบมาท่าน(ผู้ร้อง)ได้ยกตัวอย่างในคำร้อง เมื่อคราวประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองหนึ่ง ที่ได้เผยแพร่ภาพ และวีดีโอเสียงของบุคคลคนหนึ่ง ท่านผู้ร้องได้ใช้คำว่า “ให้โอวาท โอวาทที่นี้มีอยู่แปดข้อ เมื่อบุคคลคนหนึ่งได้ให้โอวาทไว้ในการประชุมใหญ่ของพรรค การประชุมใหญ่ของพรรคตามกฎหมาย ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะว่าไม่เกิดขึ้นโดยง่ายปีหนึ่ง อาจมีขึ้นหนึ่งหรือสองครั้ง แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมใหญ่ย่อมมีความสำคัญ ฉะนั้น เมื่อพรรคยินยอม หรือรู้เห็นรับรู้ในการที่ให้บุคคลคนหนึ่ง ได้ใช้ช่องทางการสื่อสารผ่านเครื่องมือสารวัสดุอุปกรณ์ บุคลากร หรือเงินทุนใช้จ่ายจากพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ไม่รู้เห็นไม่ยินยอม โดยไม่เกิดการโต้แย้ง ดังนั้น เมื่อผู้ร้องท่านยกเหตุว่า เมื่อมีการประชุมใหญ่เกิดขึ้นมีการให้โอวาท โอวาททั้งแปดข้อนี้ ก็ต้องมาดูว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองนั้นหรือบุคคลผู้เสนอไปรับตำแหน่งทางการเมืองสำคัญอาจได้นำโอวาทนั้นไปดำเนินการ..นั้นและครับหลักฐานเชื่อมโยงแล้ว (ถึงตอนนี้พิธีกรกล่าวว่าเขาบอกว่าเป็นแค่คำแนะนำเองใครๆ ก็ทำได้)
ทนายธีรยุทธกล่าวว่า“แนะนำต้องทำที่อื่น เพราะตรงนั้นเป็นห้องประชุมใหญ่ประจำปีของพรรคการเมือง ตรงนั้นผู้ที่เข้าไปได้ก็มีแต่สมาชิกเท่านั้น สมาชิกพรรคการเมืองอื่นจะเข้าไปก็ไม่มีใครยอม และไม่มีเหตุอันสมควรจะเข้าไปด้วย..อ้างว่าเป็นคำแนะนำคงฟังไม่ขึ้น”
ทนายธีรยุทธระบุด้วยว่า“ในคำร้องท่าน(ผู้ร้อง) ยกตั้งแต่บุคคลคนหนึ่งเดินทางกลับประเทศไทยก็เริ่มต้นหลักฐานและท่านก็เชื่อมโยงไปที่บุคคลคนหนึ่งได้ให้โอวาทพรรคการเมืองนั้น ท่านก็อธิบายต่อว่าพฤติกรรมของสมาชิกพรรคการเมืองนั้น เป็นลักษณะตอบรับบุคคลคนนั้นในหลายๆเหตุการณ์และในหลายวิธีการ ดังนั้นการกระทำของบุคคลคนนั้นครอบงำ ชี้นำ ชี้แนะ ชักนำพรรคการเมืองโดยทางอ้อมหรือไม่ ?
ถึงตอนนี้ ผู้ประกาศข่าวถามนำในกรณีมีคนเรียกประชุมพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าที่มีรายงานว่านายทักษิณอยู่ที่นั้นด้วยพรรคร่วมรัฐบาลมีความผิดด้วยหรือไม่
ทนายธีรยุทธ ระบุว่า พรรคอื่นโดนด้วยหรือไม่ ต้องดูว่ามีอิทธิพล (ครอบงำ ชี้นำ) เพียงไหนต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ก่อนว่า พรรคการเมืองที่เรากล่าวอ้างนั้น เป็นใครและพวกเขา รับคำพูดนั้นไปปฏิบัติหรือไม่ ถ้าจะเชื่อมให้ได้ ต้องหาหลักฐานเชิงประจักษ์ตรงนี้ก่อนว่า กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า เข้าข่าย มาตรา 28-29 ครอบงำ ชี้นำพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรค ในลักษณะที่จำต้องนำไปปฏิบัติหรือไม่ พิสูจน์ได้ในศาล โดยการเชิญสื่อมวลชนมาให้การว่า ท่านได้เห็นบุคคลนั้นไหม ทะเบียนรถอะไร
ส่วนเรื่องผู้ร้องปกปิดชื่อนั้น ทนายธีรยุทธชี้แจงว่า ตามกฎหมายผู้ร้องต้องแสดงตัวอย่างเปิดว่าเป็นคนไทยและมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าผู้ร้องปฏิบัติตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารราชการ แต่ท่านได้ยื่นเรื่องต่อ กกต.ให้ปิดบังข้อมูลส่วนตัวไว้จนกว่าศาลฯรับคำร้องพิจารณาหรือไม่
พิเคราะห์จากข้อครหาที่มีมากมายประกอบกับคำสัมภาษณ์ของทนายธีรยุทธ อนุมานได้ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี“อุ๊งอิ๊งค์”เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ไม่ถึงปี 2568
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี