“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” กรรมที่สัตว์โลกทั้งหลายทำไว้แล้วย่อมส่งผลต่อชีวิตประจำวัน อาจจะส่งผลช้าหรือเร็ว ย่อมไม่มีสัตว์โลกใดๆ หลีกเลี่ยง ผลของกรรมหรือการกระทำของตนเองไปได้
ในยุคที่การสื่อสารล้ำสมัยไวระดับ 5G คนทำกรรมดี ดีสนองทันใจ ทำกรรมชั่ว ไม่ต้องรอชาติหน้ากรรมตามล่าในชาตินี้ ในห้วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักการเมือง ที่เป็นสมุนรับใช้ธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ติดคุกติดตะรางมาแล้วกว่า 300 คน
ส่วนที่เป็นสัมภเวสีหนีคุกพวกนี้ ดูดีเพียงกายดังคำท่าน “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” มีบางรายแสร้งทำเป็นองคุลีมาลกลับใจ เปลี่ยนขอมาทำความดีที่บ้านเกิด แต่ผู้ที่กลับมาสร้างกรรมใหม่จนมีคนร้อง คนฟ้องว่า ขัดพระราชโองการ ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
บางคนชาวบ้านประชด เป็น เทวดาชั้น 14 เพราะเหตุว่า สัมภเวสีหนีคุกอ้างว่า อยากกลับมาเลี้ยงหลาน โดยตกลงกับกลุ่มการเมืองที่อยู่ในอำนาจเวลานั้นให้กลับบ้านได้ นักโทษคดีคอร์รัปชั่น เมื่อได้กลับบ้าน ถวายฎีกายอมรับความผิด และขอรับโทษตามคำตัดสินศาลขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานอภัยโทษ ลดโทษจากแปดปีเหลือจำคุกหนึ่งปี
แต่หลังได้รับพระราชทานอภัยลดโทษไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยอ้างว่าป่วยปางตาย กรมราชทัณฑ์จัดการให้นักโทษได้ใช้ชีวิตหรู อยู่สบายในห้องรอยัล สูทชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นาน 180 วันจนได้รับการพักโทษ การกระทำของกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ได้สร้างความขุ่นเคืองใจในสังคมไทย แต่ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ จึงประชดเพื่อความสะใจเรียกว่า “นักโทษเทวดาชั้น 14”
นักกฎหมาย นักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม ทำหนังสือถึงรัฐบาล กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจให้เปิดเผยอาการป่วยนักโทษเทวดาแต่คำร้องเรียนทั้งหลายไม่เกิดมรรคผลใดๆ ประชาชนทักท้วงร้องเรียนมากเท่าไหร่เทวดาชั้น 14 ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเท่านั้น ถึงขั้นครอบงำสั่งการรัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้หันซ้ายหันขวาได้เหิมเกริมสั่งให้พรรคร่วมรัฐบาล มาสุมหัวในบ้าน ให้จัดการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้พ้นจากหน้าที่
ถึงตอนนี้นักกฎหมาย นักเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอดถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สอบสวนยุบพรรคเพื่อไทย ฐานช่วยให้นักโทษคดีอาญา กลายเป็นนักโทษเทวดา และเมื่อการร้องเรียน เรื่องนักโทษเทวดา ข้อหาโกงความยุติธรรม และครอบงำพรรคเพื่อไทย ให้กกต.สอบสวนยุบพรรคถึง 13 คดี นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. แถลงว่าบางเรื่องที่ร้องเรียนมีมูล จึงตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวน คำแถลงของนายแสวงไม่ได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่พรรคเพื่อไทย
แต่มีคำร้องหนึ่ง ที่ทำให้เกิดอาการสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจนักโทษเทวดา คือ คำร้องของทนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่เคยฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว ทนายธีรยุทธมีพยานหลักฐานและแง่มุมทางกฎหมายเอื้อการเอาผิดพรรคเพื่อไทยสองขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ นักโทษเทวดาและพรรคเพื่อไทย หยุดการกระทำที่มีพฤติกรรมครอบงำพรรคเพื่อไทยและหยุดการกระทำพฤติกรรมล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ขั้นตอนที่ 2 หากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดการกระทำตามคำร้องที่ 1ทนายก็จะร้องต่อไปให้ยุบพรรคเพื่อไทย และเอาผิดนักโทษเทวดา ซึ่งถือว่าเป็นลีลาทางกฎหมายที่หาตัวจับยากในยุคนี้ พิเคราะห์จากสำนวนฟ้องและที่ทนายธีรยุทธให้สัมภาษณ์บางส่วน คิดว่าศาลฯท่านอาจรับคำร้องไว้พิจารณา
ในเอกสาร 580 หน้า ที่มอบให้ศาลฯพิจารณา ผู้ร้องเก็บหลักฐาน ตั้งแต่วันที่นักโทษเทวดากลับมาถึงประเทศไทย ความเคลื่อนไหวระหว่าง
อยู่ในโรงพยาบาล และพฤติกรรมต่างๆ หลังได้รับการพักโทษ รวมถึงวันที่นักโทษเทวดา ให้โอวาทในที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญนำมาร้อยเรียงกับพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งมีผู้รู้อธิบายว่า คำวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกฯได้ระบุถึงนายทักษิณเอาไว้ด้วยดังนั้น ทนายอาจนำคำวินิจฉัยไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานก็ได้
ในคำวินิจฉัยได้ระบุเอาไว้ว่า “...ข้อที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) โดยกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องที่ 1 เข้าพบ “บุคคล” ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นหัวหน้าทนายความประจำตัว จึงเป็นมูลเหตุจูงใจทำให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่ “บุคคล” ดังกล่าว และหลังจากผู้ถูกร้องที่ 1 เข้าพบ “บุคคล” ดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกร้องที่ 1 นำความกราบบังคมทูลเพื่อเสนอแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่เคยถอนชื่อ หรือ ขอให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ถอนชื่อจากบัญชีเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรี ในการเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566
เป็นพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงรวมทั้ง รู้เห็นยินยอม ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 หรือ “ผู้อื่น”ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 เพื่อให้ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ...” “บุคคล” ที่ว่าคือ “ทักษิณ ชินวัตร”คือ คนที่ “พิชิต ชื่นบาน” เป็นทนายความประจำตัว
ส่วนคำร้องล้มล้างการปกครองฯ มี 6 ข้อดังนี้ หนึ่ง ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้อภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไป 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้ผู้ถูกร้องที่ 2เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ รพ.ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ระหว่างต้องโทษจำคุก ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องพักชั้นที่ 14 รพ.ตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยเป็นการฝ่าฝืนการรับโทษในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งอันอาจเป็นการกระทำที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และเป็นการกระทำที่อาจเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันฯ
ในที่สุดได้หลักฐาน ปรากฏในรายงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ซึ่งรวบรวมไว้แล้วว่านายทักษิณมีอาการเพียงพอจะกลับเข้ารับโทษหรือไม่
สอง ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติกรรมฝักใฝ่ร่วมคิดกับสมเด็จฮุนเซน ผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชาซึ่งมีระบอบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันฯ และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำและเป็นผู้สั่งการให้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับผู้นำกัมพูชา กรณีอาจละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ทางทะเลที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU ปี 2544) เพื่อแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและก๊าซในทะเล ซึ่งเป็นอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่กัมพูชา หลักฐาน เป็นรายงานที่ปรากฏอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ
สาม ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน(ปชน.) ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองที่เป็นพรรคก้าวไกล(ก.ก.)เดิม ซึ่งมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคพวก
สี่ ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เพื่อหารือเสนอบุคคลที่สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งเรียกกันว่า“บ้านจันทร์ส่องหล้า”
ห้า ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำและเป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยผู้ถูกร้องที่ 2 ยินยอมกระทำการตามที่ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการ
หก ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลให้นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งแสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน
เมื่อนำ 6 คำร้อง มาร้อยเรียงพบว่า ทั้งหมดมีส่วนสัมพันธ์กับคำร้องที่ 1 ซึ่งมีพยานหลักฐานและพยานแวดล้อม เอาผิดกับผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ ถึงกล่าวแต่ต้นว่ากรรมยุค 5G ตามล่าเทวดาชั้น 14 ที่ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า อย่างช้าไม่เกินเดือนพฤษภาคมปีหน้า เทวดาชั้น 14 ก็ตกจากวิมาน พร้อมกับยุบพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 แล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี