อย่างที่เคยเขียนไปแล้วว่า นักการเมือง พรรคการเมือง และบรรดา สส. นั้น ไม่เคยมองตัวเอง ได้แต่โทษโน่นโทษนี้ คิดแต่ประโยชน์และอำนาจของตนเอง และทุกครั้งที่ถูกทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจ สาเหตุก็มาจากความชั่วของนักการเมืองเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ทหารต้องเคลื่อนกำลังออกมายึดอำนาจ ดังนั้น จะเขียนกฎหมายอะไรออกมา ให้วิเศษแค่ไหน ก็แก้ไม่ได้
ขนาดว่าเนติบริกรอย่าง“วิษณุ เครืองาม” ยังให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นกับสื่อเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมเมื่อวานนี้ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า “จะมีกฎหมายอะไรที่จะป้องกันการทำรัฐประหารได้จริงหรือไม่" นายวิษณุซึ่งเป็นมือกฎหมายที่เรียกว่าเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรระดับน้องๆ “ขงเบ้ง”ในสามก๊กตอบว่า “ผมไม่เชื่อว่ามี”
เพราะใครก็รู้ว่า ถ้านักการเมือง พรรคการเมือง และ สส. โดยเฉพาะรัฐบาลไม่ประพฤติชั่วจากการทุจริตโกงกินบ้านเมืองกันอย่างชนิดที่ชาวบ้านก็ทนดูไม่ได้แล้ว ใครก็ทำอะไรไม่ได้ เช่นโคลงในรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ “สุจริตคือเกราะบัง..ศาสตร์พ้อง ฯ”..และเมื่อทหารออกมายึดอำนาจแล้ว..ขนาดรัฐธรรมนูญยังฉีกทิ้งได้ แล้วสำมะหาอะไรกับแค่กฎหมายป้องกันการรัฐประหารที่เป็นแค่“ยันต์กันผี”จะฉีกทิ้งไม่ได้
และก็อย่างที่เขียนไปแล้วอีกเช่นกัน ว่า การแก้กฎหมายด้วยข้ออ้างโน่นนี่..ก็เพราะรัฐบาล“ทักษิณคิด-ลูกสาวทำ”ชุดนี้ ต้องการจะเข้าไปล้วงลูกแทรกแซงกองทัพเพื่อเอาคนของตนลงไป..เมื่อเวลาโกงกินกันแล้ว จะได้ไม่ต้องกลัวว่าทหารดีๆ ที่รักชาติรักแผ่นดินและไม่เอาด้วยกับนักการเมืองชั่ว..จะออกมาขัดขวาง
การกลับมาของ“ทักษิณ ชินวัตร”อีกครั้ง จากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต มาเป็นรัฐบาลเพื่อไทย ที่เป็นรัฐบาลทับซ้อนและนายกรัฐมนตรีทับซ้อน โดย“ทักษิณคิด” และ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่มี“ภูมิธรรม เวชยชัย”เป็นพี่เลี้ยงทำ นั้น ก็ไม่ต่างจากอดีตคือต้องการกระชับอำนาจในกองทัพ..เป็นการถอดบทเรียนของตัวเองในอดีต ถ้าคิดจะอยู่ยาว และคิดจะผูกขาดประเทศไทยให้เหมือนบริษัทในกงสีของ“ตระกูลชินวัตร”..ก็จะต้องมีแม่ทัพนายกองที่เป็นบริษัทบริวาร และสามารถชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหัน..เหมือนกับบงการนักการเมืองที่เป็น“สุนัขในคอก”ได้
สมัย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเข้าไปล้วงลูกกองทัพแต่งตั้ง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้อง จากนายทหาร“เหล่าช่าง”และอยู่นอกไลน์“5 เสือ ทบ.”ข้ามห้วยจากกองบัญชาการทหารสูงสุด ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการทหารสูงสุด มาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกในปี 2545 แบบ“เหาะลัดฟ้า”เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในปี 2546 นั้น..ลูกผู้พี่ของทักษิณผู้นี้ ก็ทำงานไม่เข้าตา“ทักษิณ”..จึงอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการหารบกได้เพียงปีเดียว..ก่อนจะถูกย้ายไปเกษียณในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในปี 2548
ที่ว่าไม่เข้า“ทักษิณ ชินวัตร” เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนที่“ค่ายปิเหล็ง” ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อต้นปี 2547 มีทหารเสียชีวิต 4 นาย และปืนเอ็ม 16 รวมทั้งปืนพกขนาด 11 ม.ม.ถูกปล้นไป 413 กระบอก..ปราฏว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ไม่สามารถทำงานสนองให้แก่น้องชายที่ชื่อ“ทักษิณ”ซึ่งปากพล่อยสบประมาทตั้งแต่ต้นว่าเป็นฝีมือ“โจรกระจอก”ได้..ขนาดปิดอำเภอปิดหมู่บ้านประกาศใช้กฎอัยการศึก..ให้ทหารเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีหมายศาลทั้งกลางวันและในยามวิกาลได้..ก็ยังคว้าน้ำเหลว
และจากเหตุการปล้นปืนที่“ค่ายปิเหล็ง”หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “กองพันพัฒนาที่ 4” ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์..ก็เป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายๆ เหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุของความรุนแรงในภาคใต้หรือ“ไฟใต้”ที่กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง อาทิ กรณีตากใบ กรณีกรือเซะ-สะบ้าย้อย ฯลฯ จนกระทั่งถึงบัดนี้ ซึ่งทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินเพื่อดับไฟใต้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ในรอบ 20 ปี..จากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย มาถึงรัฐบาลเพื่อไทยในปัจจุบัน
จะยกมาให้ดูอีกหนึ่งตัวอย่าง เกี่ยวพันกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และสามารถเข้าไปแทรกแซงล้วงลูกกองทัพในการแต่งตั้งโยกย้ายแม่ทัพนายกองระดับนายพลได้ นั่นก็คือตำแหน่งแม่ทัพภาค 4
ปรากฏว่าสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หลังเหตุปล้นปืนที่“ค่ายปิเหล็ง” ก็เกิดเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง..เพราะมีการเข้าค้นบ้าน มีการจับกุม มีการอุ้มผู้ต้องสงสัยแบบเหวี่ยงแหไปหมด โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก..จนทำให้คนไทยมุสลิมในพื้นที่เกิดความคับแค้น..เป็นผลให้มีการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาคสี่ถึง 5 คน
คนแรกไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ของ“ทักษิณ ชินวัตร”.. จึงได้รับการวางตัวเป็นแม่ทัพภาค 4 คือ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ (1 เมษายน 2546 – 30 กันยายน 2546) ซึ่งนายทหารผู้นี้เป็น“ฝ่ายบุ๋น”เรียนเก่ง
โดยหลังจาก“ทักษิณ ชินวัตร”ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนกุมภาพันธ์ 2544..ก็ได้แต่งตั้ง พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์..โดยย้ายข้ามฟากจากตำแหน่งรองเจ้ากรมข่าวทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ไปเป็นรองแม่ทัพภาค 4 ในปีเดียวกันนั้น..เพื่อจ่อคิวขึ้นเป็นแม่ทัพ 4 ต่อจาก พล.ท. วิชัย บัวรอด ที่กำลังจะเกษียณราชการ และหลังจาก พล.อ.กิตติ ได้ขึ้นเป็น แม่ทัพภาค 4 ได้เพียง 6 เดือน ก็ถูกโยกออกจากตำแหน่งไปเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ถัดมาคนที่สอง คือ พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ (1 ตุลาคม 2546 – 31 มีนาคม 2547) ซึ่งต้องหมายเหตุไว้ ก็คือ..หลังเกิดเหตุปล้นปืนที่“ค่ายปิเหล็ง” รัฐบาลที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ขีดเส้นตายให้ พล.ท.พงษ์ศักดิ์คลี่คลายคดีปล้นปืนโดยเร็ว แต่ผ่านไปเกือบสามเดือนก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้..อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในจังหวัดชายแดนภาคใต้..พล.ท.พงษ์ศักดิ์ จึงถูกย้ายไปช่วยราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2547
จากนั้น พล.อ.พิศาล วัฒนะวงษ์คีรี (1 เมษายน 2547 – 31 มีนาคม 2548) ก็ได้รับแต่งตั้งจากรองแม่ทัพภาค 4 ขึ้นมาเป็นแม่ทัพ 4 แทน พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ และก็เกิดเหตุการณ์กรณี“กรือเซะ-สะบ้าย้อย”ในวันที่ 26 เมษายน 2547 มีคนไทยมุสลิมเสียชีวิตรวมทั้งหมด 107 ศพ..ต่อมาอีก 6 เดือนก็เกิดเหตุการณ์กรณี“ตากใบ”ในวันที่ 25 ตุลาคม มีคนไทยมุสลิมเสียชีวิต 85 ศพ
กรณีเหตุการณ์ตากใบ ซึ่งเกิดขึ้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส นั้น เป็นเหตุให้ พล.อ.พิศาล วัฒนะวงษ์คีรี ต้องถูกย้ายไปประจำกองทัพบกในเดือนพฤศจิกายน 2547..ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าขอย้ายตัวเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบ..หลังจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาสรุปออกมาว่า พล.อ.พิศาลมีความผิด
พล.ท.ขวัญชาติ กล้าหาญ จากตำแหน่งรองแม่ทัพภาค 4 ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นแม่ทัพ 4 (1 เมษายน 2548 – 10 ธันวาคม 2548) ต่อจาก พล.อ.พิศาล วัฒนะวงษ์คีรี หลังจากรักษาการแทน พล.อ.พิศาล อยู่ระยะหนึ่ง..แต่อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 8 เดือน..พล.ท.ขวัญชาติ ก็ถูกย้ายออกจากตำแหน่ง
เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่า พล.ท.ขวัญชาติ กล้าหาญ ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ในภาคใต้สงบลงได้ เกิดเหตุรุนแรงขึ้นหลายครั้ง ทั้งการลอบวางระเบิด, การถล่มสถานที่ราชการ และเหตุสังหารหมู่ กระทั่งเหตุการณ์สุดท้ายก่อนถูกย้าย..มีทหารนาวิกโยธิน 2 นาย เสียชีวิตจากเหตุการณ์รุนแรงที่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
แม่ทัพภาค 4 คนสุดท้าย ในยุค“ทักษิณ ชินวัตร” ก็คือ พล.ท.องค์กร ทองประสม ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค 4 (11 ธันวาคม 2548 – 30 กันยายน 2549) แทน พล.ท.ขวัญชาติ กล้าหาญ
สรุปก็คือ การที่“ทักษิณคิด-สส.พรรคเพื่อไทยทำ” โดยจะแก้กฎหมายเพื่อเข้าไปล้วงลูกกองทัพในการแต่งตั้งโยกย้ายแม่ทัพนายกองระดับนายพลได้นั้น..จึงมีทุกฝ่ายใม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม..ที่เสนอโดย สส.พรรคเพื่อไทย โดยมีนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.ระบบบัญชี พรรคเพื่อไทย เป็นตัวหลักสำคัญ
อย่างน้อยคนหนึ่ง ก็คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชุดนี้..ซึ่งไม่เห็นด้วย โดยกล่าวว่า “ต่อให้ออกกฎหมายอะไรมา ถ้าเขาจะปฏิวัติ ประกาศแรก ก็คือ การฉีกรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการเสนอแก้กฎหมาย ก็เป็นการแสดงสัญลักษณ์ แต่บังคับใช้อะไรไม่ได้..ทางที่ดีที่สุดคือทำตัวให้ดี อย่าให้ไปเข้าเงื่อนไข ต้องซื่อสัตย์สุจริต-อย่าขี้โกง”
“สุจริตคือเกราะบัง..ศาสตร์พ้อง ฯ” คือคาถาที่ดีที่สุดสำหรับป้องกันการถูกรัฐประหารยึดอำนาจครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี