สารพัดภัยธรรมชาติ และภัยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เป็นของคู่กันกับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม ภัยแล้ง วาตภัย ไฟไหม้ป่า รวมไปทั้งฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐาน ที่เห็นผลเด่นชัดกระทบคนกรุงเทพฯ และภาคเหนืออย่างรุนแรงในขณะนี้
โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นละออง เริ่มมีการแก้ไขปัญหาจริงจังเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว มีการใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อหยุดยั้งภัยเหล่านี้ ซึ่งยุคของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ดูจะสาหัสกว่ารัฐบาลอื่นๆ ถึงขั้นจะผลักดันแก้ปัญหาฝุ่นพิษ เป็นวาระแห่งอาเซียน
น่าคิด กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ฝากไปถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่า เท่าที่นายกฯ ระบุว่าจะให้เป็นวาระอาเซียนนั้น ว่า Asean Agreement ในการตกลงเรื่องมลพิษข้ามแดนมีมาตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งในสิงคโปร์ ปี 2013 มีค่าฝุ่นอยู่ที่ 400 กว่า มาจากการเผาที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นอุตสาหกรรมปาล์มและอุตสาหกรรมกระดาษ เมื่อเปรียบเทียบกันก็จะเห็นว่าประเทศไทยก็มีอะไรคล้ายกัน ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านและจากการเผาการเกษตรเหมือนกัน
ทั้งนี้ ที่สิงคโปร์ทำ 2 อย่าง คือ พ.ร.บ.อากาศสะอาด และ พ.ร.บ.ฝุ่นข้ามชาติ โดยสภาของสิงคโปร์ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี ในการผลักดันกฎหมายนี้ แต่ พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทย ใช้เวลานานพอสมควร ทั้งที่ควรจะเป็นวาระเร่งด่วน
เมื่อ พ.ร.บ.อากาศสะอาดเสร็จ ควรจะต้องมีพรรคการเมืองเสนอ พ.ร.บ.ฝุ่นข้ามชาติ ที่ให้อำนาจรัฐบาลลงโทษบริษัทต่างชาติ ที่ทำธุรกรรมในไทย ถือเป็นกฎเหล็กที่สามารถใช้บังคับกฎหมายได้ ส่วนในระดับประเทศก็ต้องมีกฎหมาย โครงสร้างทางอำนาจมากำกับดูแล และในท้องถิ่นควรมีงบประมาณเข้ามาบริหารจัดการเยอะๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้วย
มันมีทั้งมิติในระดับอาเซียน ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น นายกฯ ต้องทำให้ได้ เพราะเรื่องพวกนี้ป้องกันง่ายกว่าการรักษา PM2.5มันทำนายได้ คิดว่าวันที่ 1 ก.พ. บางพื้นที่ก็ยังจมฝุ่นอยู่ คราวนี้คุณมาแก้ปัญหาครึ่งทางแล้ว เผลอๆ รอเวลาไปเรื่อยๆ ลมมันพัดไปคุณก็มาเคลมว่า ฉันแก้ได้แล้ว อย่างที่เคยพูดไว้ว่าใครที่จะมาเป็นรัฐบาลในปี’70 ต้องแก้ฝุ่นไฟฝนแล้วกลับมาฝุ่นอีกรอบหนึ่ง
เรื่องพวกนี้ต้องแก้ปัญหาล่วงหน้า ถ้ามาคิดตอนนี้มันก็สายไป ส่วนที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่าเตรียมการมาแล้ว จริงๆ รัฐบาลเพื่อไทยก็มีนายกฯ 2 คน ก่อนที่มันเป็นนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก็เป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ข้อสั่งการที่สั่งการไว้มันกลายเป็นฝุ่นไปหมดแล้ว
“ผมก็ไปนั่งไล่ดู ไปติดตาม ให้คนทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วตอนนี้ผลงานมันอยู่ที่ไหน ถ้าคุณจะมีข้อสั่งการผมไม่ว่า แต่ถามว่าผลงานที่ต่อเนื่องมาจากข้อสั่งการเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา มันอยู่ที่ไหน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูว่าพูดแล้วทำจริงหรือไม่” นายพิธา กล่าว
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้จะแขวะรัฐบาลไปพอสมควร แต่มันตรงกับข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลในขณะนี้คือยังไม่ประสีประสาอะไรมากนัก แค่ให้คนในกรุงเทพฯ นั่งรถไฟฟ้า รถเมล์ของขสมก.ฟรี เพื่อไม่ให้คนกรุงเทพฯนำรถออกมาจากบ้านและให้ใช้บริการสาธารณะ นั้นอาจจะถูกใจชนชั้นรากหญ้าที่ไม่มีรถยนต์ ส่วนที่มีรถส่วนตัวน้อยนักจะหันมาขึ้นรถเมล์ เรื่องนี้คนต่างจังหวัดด่ากันขรม เพราะเงินที่นำไปชดเชยเป็นภาษีของคนทั้งประเทศ
แม้แต่คนในพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์พรรคร่วมหรือพรรคขอพลอยเป็นรัฐบาลก็ยังออกมาเหน็บแนมนายกฯ ซึ่งนายกฯก็ต้องทำหน้าที่แก้ปัญหาต่อไปให้สมศักดิ์ศรีและมันสมองที่มีอยู่ แม้จะแก้ปัญหาแบบวัวพันหลัก0ก็ต้องทำต่อ เผื่อฟลุคพายุเข้าฝุ่นก็หายไปเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี