ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ปัญหาเขมรจะยึดดินแดนไทยนั้น ประชาชนไม่สามารถไว้วางใจรัฐบาล ที่มี“แพทองโพย”ผู้ไร้สติปัญญา และมีอารมณ์“เหวี่ยง-วีน”แบบเด็กน้อย“ลูกคุณหนู”เป็นเจ้าเรือน นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้เลย เพราะไทยถูกเขมรเปิดเกมรุกอยู่ทุกวัน
ในขณะที่รัฐบาลไทย“หน่อมแน้ม” อ้ำๆอึ๊งๆ เหมือนมีอะไรมาอุดปากและค้ำคออยู่ ได้แต่ละเมอเพ้อพกกับคำว่า จะ“เจรจา”และ“สันติวิธี”เท่านั้น ขนาดปิดชายแดนเพื่อกดดันเขมร ก็ยังไม่กล้าทำ
เรียกว่ามีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยที่เขมรแข็งกร้าวและข่มขู่คุกคามไทยอยู่ตลอดเวลา และไปไกลถึงขั้นจะฟ้องศาลโลก ซึ่งล่าสุดก็ยังดึงสถาบันกษัตริย์ของเขมรลงมาเล่นด้วย จากที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนเมื่อวานนี้ว่า “ฮุน เซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งกัมพูชา ในฐานะประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้เปิดเผยว่า “พระราชินีโมนีก”พระวรราชมารดา จะพระราชทานเงินจำนวน 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 325,900 บาท ให้แก่กองกำลังกัมพูชาที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย
ส่วนรัฐบาลไทยยังเล่น“บทลิเกหลงวิก” เห็นได้จากแถลงการณ์ของรัฐบาลที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนเมื่อวานนี้ โดยระบุว่าพร้อมจะเจรจาผ่าน “JBC”, “GBC”และ “RBC” ทั้งๆ ที่ “ฮุน เซน”ประกาศชัดเจนว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU43) ที่ทั้งสองประเทศ คือ ไทยกับกัมพูชาลงนามร่วมกัน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนเมื่อปี 2543 นั้น ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะผ่านมาแล้ว 25 ปี แต่กัมพูชาและไทยก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ซึ่ง“ฮุนเซน”พูดเรื่องนี้กลางที่ประชุมสภานิติบัญญัติกัมพูชาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนนี้เอง ก่อนที่สมาชิกสภานิติบัญญัติกัมพูชาจะลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ให้รัฐบาลกัมพูชา“ยื่นฟ้องศาลโลก”เพื่อหาข้อยุติ
แถลงการณ์ของรัฐบาลไทยดังกล่าว ยังสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนอีกว่า รัฐบาลไทยนั้นแพ้ทางเขมร อันเนื่องมาจากผู้นำประเทศอาจจะสับสน ระหว่างผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว คือ มีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง“ตระกูชินวัตร” กับ“ตระกูลฮุน” ซึ่งแถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้ :-
“รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุด ในการปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม”
“โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทย ซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ..ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสถานการณ์จากการปะทะดังกล่าว ทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ”
“ภายหลังจากเกิดเหตุ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิตในทุกระดับ รวมถึงนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ ได้มีการพูดคุยกันด้วยความห่วงใยในสถานการณ์ ผลจากการพูดคุย รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติ และไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้นคือกลไก JBC ตามที่ผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา”
“ส่วนประเด็นที่ได้รับการสอบถามเกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่อาจประสงค์จะใช้กลไกทางศาล หรือฝ่ายที่สามมาพิจารณาเรื่องนี้นั้น ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชา มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญา และความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน”
“เช่น JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม) ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น(ในวาระที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา"
“GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา) ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค) ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพทัพภาค ซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อย”
“นอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกัน ที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิด ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ”
“รัฐบาลขอยืนยันว่า ปัจจุบันสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั่วไปมีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชน มีความมั่นใจว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ตามขั้นตอนในการปกป้องอธิปไตยของไทย และรักษาสิทธิทางกฎหมายของไทยอย่างครบถ้วน และเชื่อมั่นว่า ไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงความเป็นครอบครัวของสมาชิก‘อาเซียน’ด้วยกัน”
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของรัฐบาลดังกล่าวนี้ ในความเห็นของอดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่จับเรื่อง“เขมร”อย่างใกล้ชิด และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญเมื่อครั้งยังเป็นวุฒิสมาชิก ได้เขียนโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก“Kamnoon Sidhisamarn” เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนเมื่อวานนี้ หลังจากรัฐบาลออกแถลงการณ์ โดยตั้งหัวเรื่องว่า“การปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ต้องนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อมๆให้ต้องตีความ“ และได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 3 ประการ ดังนี้ :-
“หนึ่ง - ในย่อหน้าที่ 2 หน้า 1 ยืนยันว่าเหตุปะทะเมื่อ 28 พฤษภาคม 2568 เกิดขึ้นในพื้นที่ฝ่ายไทย โดยฝ่ายไทยจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของไทยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นการกล่าวโดยนัยอย่างสุภาพแบบผู้ใหญ่ ว่ากัมพูชาล้ำเข้ามาในพื้นที่ฝ่ายไทย กัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทย”
“สอง –ควรกล่าวให้ชัดเจนว่า หนทางแก้ปัญหานั้น ก่อนอื่น กองกำลังฝ่ายกัมพูชาจะต้องถอนออกจากพื้นที่ฝ่ายไทย หรือจะเขียนโดยนัยให้อ้อมกว่านี้ ทำนองว่ากองกำลังของทั้ง 2ฝ่าย จะต้องประจำอยู่แต่ในพื้นที่ของฝ่ายตน ที่เคยยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างเคร่งครัด ก็ได้ไม่ว่ากัน โดยควรจะแทรกไว้ก่อนย่อหน้าที่ 1 หน้า 2”
“สาม - ในย่อหน้าที่ 1 หน้า2 ได้พูดถึงการที่กัมพูชามีดำริจะใช้กลไกของศาล หรือฝ่ายที่3 ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นศาลโลก หรือ ICJ นั้น ไม่ได้พูดตรงไปตรงมาให้ชัดเจนสิ้นสงสัยไปเลยว่า ไทยไม่ยอมรับ โดยพูดเพียงว่า ไทยมุ่งแก้ปัญหาแบบทวิภาคีตามกลไก MOU 2543 ผ่านคณะกรรมการชุดต่างๆ ระดับต่าง ๆ คือ JBC, GBC และRBC ซึ่งก็อาจตีความแบบเข้าข้างคนเขียนแถลงการณ์ว่า เป็นการทำให้เข้าใจโดยนัยได้ว่า ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ในประการนี้ ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าไม่ชัดเจนเพียงพอ”
อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน ตั้งข้อสังเกตเชิงเสนอแนะต่อรัฐบาลเป็นบทสรุป-อีก 2ย่อหน้าถัดจากนี้ว่า :-
“กัมพูชาเล่นใหญ่จัดหนัก ว่าจะฟ้องศาลโลก ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐสภา ผู้นำตัวจริงของเขาอาศัยเวทีวุฒิสภาข่มขู่ ท้าทาย และปรามาส ปรากฏชัดเจนไปทั่วโลก คำตอบของรัฐบาลไทยในประเด็นนี้ ควรหรือที่จะใช้ท่าทีลีลาแบบให้ต้องตีความ สมควรปฏิเสธการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกให้ชัดเจน และตรงไปตรงมากว่านี้ ซึ่งก็สามารถแสดงออกได้สั้นๆ ภายใต้การคงลีลาสุภาพและความเป็นผู้ใหญ่กว่าเอาไว้”
“ถ้าเป็นผมนะ จะเขียนเติมลงไปตรงบรรทัดที่ 2 ของย่อหน้าที่ 1 หน้า 2 ว่า ขอเรียนว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) โดยมีมติคณะรัฐมนตรีรองรับไว้ชัดเจนล่าสุด เมื่อ 12 มีนาคม 2567 ด้วยเหตุผลหลักที่ว่า เพื่อมิให้เป็นการกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ และขณะนี้ยังไม่มีนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด…“
บรรทัดนี้ก็คงต้องบอกว่า-รัฐบาลไทยไม่กล้าเขียนเพิ่มเติม ตามที่“อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน”ชี้แนะ เพราะ“ทักษิณชินวัตร”นายกรัฐมนตรีตัวจริงของไทย เกรงว่าสหายรักที่ชื่อ“ฮุน เซน”จะโกรธ
จึงทำให้ต้อง“นั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อมๆ ให้ต้องตีความ” ดังที่ “อดีตสว.คำนูณ สิทธิสมาน”จั่วหัวเรื่อง“ว่าด้วยแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย” ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี