กัมพูชา เดินหน้ากลเกมจะลากไทยไปศาลโลก
พร้อมๆ ฉวยผลประโยชน์จากกระแสการเมืองภายในประเทศเพื่อให้ชาวกัมพูชาสนับสนุนรัฐบาลต่อไป
1. สื่อกัมพูชารายงานว่า รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า กัมพูชาจะไม่เจรจาทวิภาคีกับไทยเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน เนื่องจากกัมพูชาตั้งใจที่จะนำประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จึงจะไม่นำประเด็นเหล่านี้ไปหารือในการเจรจาทวิภาคีกับไทยในวันที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้
ในแถลงการณ์นี้ ระบุว่า
“รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (RGC) ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ยึดหลักสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเรามีพรมแดนร่วมกันซึ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในช่วงอาณานิคมฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช ยกเว้นในยุคการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง กัมพูชายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงในพันธสัญญาที่จะเปลี่ยนพื้นที่พรมแดนร่วมเหล่านี้ให้กลายเป็นเขตแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ถึงแม้ว่าเส้นทางเดินดังกล่าวจะมีอุปสรรคขวากหนาม แต่กัมพูชายังคงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความตึงเครียดในบางโอกาสและการสูญเสียชีวิตอย่างน่าเสียดายของทหารหาญของเราที่ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน
ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของ RGC ในการแก้ไขปัญหาอย่างสันตินั้น เห็นได้จากการดำเนินการในอดีต ซึ่งรวมถึงการส่งเรื่องข้อพิพาทไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีในปี 2505 และอีกครั้งในปี 2556 ในข้อพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างเรากับไทย การกระทำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งของเราต่อกฎหมายระหว่างประเทศและการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 05.30 น.ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธขึ้นเมื่อกองทัพไทยเปิดฉากยิงใส่ฐานทัพของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชมรกต ตำบลมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับมานานว่าเป็นที่ตั้งของฐานทหารกัมพูชา การปะทะกันครั้งนี้ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นายอย่างน่าเศร้าสลด (กัมพูชาโกหกว่าจุดเกิดเหตุเป็นแผ่นดินกัมพูชา และโกหกว่าฝ่ายไทยเปิดฉากยิงก่อน)
RGC ได้ยื่นคำร้องประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการใช้กำลังทั้งที่ไม่มีการยั่วยุ ซึ่งถือเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และหลักการของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีตามที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ระหว่างสองประเทศ
เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่ากังวลหลายประการที่เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของกลไกการแก้ไขข้อพิพาทในปัจจุบันในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่มีมายาวนานตามแนวชายแดนร่วมของเรา เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ และเพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไขปัญหาที่ยุติธรรม เป็นกลาง และยั่งยืน เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 RGC จึงได้ตัดสินใจส่งข้อพิพาทในพื้นที่อ่อนไหว 4 แห่ง ได้แก่มุมไบ(สามเหลี่ยมมรกตหรือช่องบก) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮก ซึ่งพื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้ยังคงมีความอ่อนไหวและไม่ได้รับการแก้ไขมาเป็นเวลานาน โดยอาจเพิ่มความตึงเครียดขึ้นได้หากไม่ได้รับการแก้ไข
การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นเอกฉันท์จากการประชุมที่ประชุมร่วมครั้งที่ 1 ของสมัชชาแห่งชาติและวุฒิสภากัมพูชาในวันเดียวกัน
ในขณะที่ดำเนินการหาข้อยุติทางกฎหมายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กัมพูชา ยังคงยึดมั่นแนวทางการเจรจาและการทูต กัมพูชาจะยังคงร่วมมือในกรอบทวิภาคีที่มีอยู่และจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) ครั้งต่อไปในวันที่ 14 มิถุนายน 2025 ที่กรุงพนมเปญ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการส่งเรื่องขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พื้นที่ทั้ง 4 ที่กล่าวถึงข้างต้นจะไม่รวมอยู่ในวาระการประชุม JBC ครั้งนี้
กัมพูชาหวังว่าประเทศไทยจะให้ความร่วมมือในการยื่นเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศร่วมกัน โดยคำนึงถึงความยุติธรรม การสร้างความไว้วางใจ มิตรภาพระยะยาว และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถให้ความร่วมมือได้ กัมพูชาก็พร้อมที่จะดำเนินการเรื่องนี้เพียงฝ่ายเดียว...”
2. ก่อนหน้านี้ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ได้แถลงต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภากัมพูชา สนับสนุนการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
สมเด็จฮุนเซนกล่าวด้วยว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) ที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนเมื่อปี 2543 นั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะผ่านมาแล้ว
25 ปี แต่กัมพูชาและไทยยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
“ถ้าเราไม่ยอมให้ศาลตัดสิน ปัญหานี้ก็จะเหมือนกับฉนวนกาซาที่ไม่มีวันจบสิ้น การต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ หรือใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า” สมเด็จฮุนเซนกล่าว
นั่นคือการข่มขู่คุกคามคนไทยและประเทศไทยอย่างชัดเจน
3. จะเห็นว่า ฝ่ายกัมพูชามีการวางแผน ดำเนินการ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
โดยเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์ของตนโดยฝ่ายเดียว
เทียบกับท่าทีการดำเนินการของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ ทั้งอ่อนหัด ทั้งอ่อนแอ
และดูเหมือนโอนเอนเข้าทางผลประโยชน์ฝ่ายกัมพูชาเสียด้วยซ้ำ
นี่ขนาดเขาประกาศจะจะ ว่าจะยึดปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ของไทย โดยไม่สนว่าไทยจะเข้าร่วมกระบวนการศาลโลกหรือไม่
รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ก็ยังมุ้งมิ้งต่อไป
ไม่มีมาตรการตอบโต้ กดดัน เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชายุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย
กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ไทยพร้อม
มหาดไทยก็ประกาศพร้อมพิทักษ์แนวหลัง
ประชาชนส่วนใหญ่แสดงออกสนับสนุนกองทัพไทย
แต่นายกฯอุ๊งอิ๊งค์มุ้งมิ้งยังนั่งหัวโด่ เป็นสากกะเบืออยู่เหมือนเดิม !
4. พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ควรจะได้รับการพัฒนาส่งเสริมในด้านเศรษฐกิจ มากกว่าจะกลายเป็นสมรภูมิ
แต่เมื่อฝ่ายกัมพูชา เดินหมากแบบนี้ เท่ากับเป็นฝ่ายล้มโต๊ะกระบวนการอื่นๆ
เพราะถ้ากัมพูชาเข้ามาในเขตของไทยเมื่อไหร่ ก็ต้องรบกันทันที
นั่นคือปลายทางที่เลี่ยงไม่ได้
ในอดีต พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เป็นสมรภูมิรบในห้วงปี 2528–2530 กองทัพของไทยสู้รบกับกองทัพเวียดนามที่เข้ายึดครองกัมพูชา สู้รบในพื้นที่ช่องบก กระทั่งกองทัพไทยขับไล่ทหารเวียดนามออกจากพื้นที่ช่องบกได้สำเร็จในปลายปี 2530 ไทยสละชีวิตทหารหาญกว่าร้อยนาย แลกกับรักษาช่องบก
ปี 2534 ไทย กัมพูชา และลาว มีการสร้างศาลาตรีมุข บริเวณสามเหลี่ยมมรกตเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือที่ดีระหว่างทั้ง 3 ประเทศ
ที่ผ่านมาถูกใช้เป็นพื้นที่พบปะ และประสานงานระหว่างทหาร รวมถึงเป็นที่พักผ่อนของประชาชน
แต่เมื่อ 1 มีนาคม 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาตรีมุข ทำให้ศาลาเสียหายทั้งหลัง
เมื่อ 28 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชายิงใส่ทหารไทยก่อน หลังจากทหารไทยลาดตระเวนพบว่าทหารกัมพูชาขุดคูเลต ในพื้นที่ฝ่ายไทย ผิดข้อตกลงแนวทางปฏิบัติ
เป็นที่มาที่กัมพูชานำมาเดินเกมต่อในปัจจุบัน
เท่ากับปิดฉากความหวังที่อยากจะเห็นการพัฒนาร่วมมือกัน (ตราบใดที่กัมพูชายังจะเดินหน้าตามแนวทางที่ประกาศไว้)
โดยที่ “สามเหลี่ยมมรกต” หรือ Emerald Triangle เป็นจุดบรรจบกันของชายแดน 3 ประเทศ คือ ไทย (พื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี) กัมพูชา (พื้นที่จังหวัดพระวิหาร) และลาว (พื้นที่แขวงจำปาสัก)
ครอบคลุมพื้นที่กว่า 12 ตารางกิโลเมตร
ในอดีต รัฐบาลไทย กัมพูชา และลาว เคยเห็นพ้องลงนามในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมระหว่าง 3 ประเทศ หรือ Emerald Triangle Cooperation (ETC) เมื่อปี 2543
มีเป้าหมายสำคัญ 1) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ (ส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ยกระดับชีวิตประชาชนในพื้นที่) 2) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากพื้นที่ชายแดนทั้งสามประเทศมักยากจนกว่าพื้นที่อื่น ๆ 3) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านสังคม และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ 4) เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อุดมสมบูรณ์ทั้งสัตว์ป่าและป่าไม้
ความร่วมมือภายใต้กรอบ ETC ในอดีตมีความพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดทำแผนการท่องเที่ยวร่วมกัน เช่น Pakse Declaration เมื่อปี 2546 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงการคมนาคม อำนวยความสะดวกทั้งคนทั้งสินค้า โครงการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าข้ามพรมแดน ฯลฯ
แต่อุปสรรคสำคัญ คือ ปัญหาเขตแดนไม่ชัดเจนระหว่างไทยกับกัมพูชา
มาวันนี้ ฝ่ายกัมพูชาเอง ปิดประตูโอกาสนั้นไปเสียแล้ว
แถมอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือ ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่ไทยหยิบยื่นให้ด้วย
เพราะรัฐบาลไทยจะนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้รัฐบาลที่ประกาศจะยึดครองดินแดนของไทยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
อาจกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าขาย ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
จุดผ่านแดนถาวร 6 แห่ง ได้แก่
1. ช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
2. ช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
3. บ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
4. บ้านแหลม อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดราชบุรี
5. บ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดราชบุรี
6. บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
จุดผ่อนปรน 10 แห่ง
1. ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
2. บ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
3. บ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
4. บ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว
5. บ้านซับตารี อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี
6. บ้านบึงชนังล่าง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
7. บ้านสวนส้ม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี
8. บ้านหมื่นด่าน ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด
9. บ้านชมง ตำบลนนทรี อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด
10. ช่องสายตะกู ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
รวมถึงจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว ช่องทางขึ้นเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และจุดผ่อนปรน ตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
ถ้ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์มุ้งมิ้ง ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไป คนไทยคงทนไม่ไหว
เพราะสับสนว่านี่มันรัฐบาลของไทย หรือของกัมพูชากันแน่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี