อีก 3 วันจะถึงวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเส้นตายที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรป่วนโลก เพราะเป็นอัตราภาษีศุลกากรที่แทบจะไม่ต่างไปจากการประกาศสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ
ยิ่งใกล้ถึงวันเส้นตาย ก็ยิ่งพบว่าบรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าก็ยิ่งเคร่งเครียดและร้อนแรงมากขึ้น แม้จะพบว่าประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ยอมรับภาษีเหมารวมอัตรา 10 เปอร์เซ็นต์ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับสินค้าสำคัญของยุโรป เช่น ยา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องบินพาณิชย์ และเซมิคอนดักเตอร์ และหวังให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีศุลกากรให้กับชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม และมั่นใจว่าบรรลุการเจรจาได้ก่อนถึงวันเส้นตาย
ส่วนญี่ปุ่นยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ ในเรื่องสินค้าเกษตรของญี่ปุ่นเป็นอันขาด ไม่ว่าจะถูกทรัมป์บีบบังคับหนักหน่วงสักเพียงใดก็ตาม ดังจะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เจรจาหาข้อตกลงกันมาแล้วกว่า 3 เดือน แต่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ เพราะสหรัฐฯ ต้องการให้ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ จึงตั้งกำแพงภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นไว้สูงถึง 25 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นได้ยืนยันว่าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวเป็นสินค้าพื้นฐานที่เป็นรากฐานของประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีวันยอมเจรจาแล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อภาคการเกษตรอย่างแน่แท้
ส่วนแคนาดายอมอ่อนข้อเรื่องภาษีสินค้าดิจิทัลให้กับบริษัทผลิตสินค้าไฮเทคฯ จากสหรัฐฯ อาทิ Apple, Meta, Amazon และ Google ทั้งนี้ แคนาดาตั้งความหวังไว้ว่าเมื่อยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ ในเรื่องนี้แล้ว ในที่สุดจะสามารถเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ ได้สะดวกและผ่านฉลุยได้ง่ายยิ่งขึ้น
เหล่านี้คือตัวอย่างของประเทศที่ดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกจากปัญหาภาษีศุลกากรป่วนโลกที่กำหนดโดยทรัมป์ ซึ่งจะเห็นว่าประเทศยักษ์ใหญ่เหล่านั้นมีขนาดใหญ่กว่าไทย มีศักยภาพการผลิตมากกว่าไทย และมีกำลังซื้อภายในประเทศ และมีอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ มากกว่าไทยหลายเท่า แต่เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับทรัมป์ได้อย่างง่ายดาย เพราะต้องเจรจากันหลายรอบ และบางประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้
แล้วประเทศไทยของเราเล่า จะมีอนาคตการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไร เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีการเจรจาแม้แต่รอบเดียวกับทรัมป์ ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลไทยชุดที่มีแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีดีแต่อ้างว่าไม่มีปัญหา ไม่ต้องรีบเจรจา แล้วยังบอกแบบชุ่ยๆ อีกว่าเตรียมทางออกของปัญหาไว้แล้ว แต่เมื่อนักข่าวถามทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีกระทรวงการคลังว่าเตรียมทางออกอะไรไว้ คำตอบที่ได้คือความว่างเปล่า ความเลื่อนลอย และสิ่งไร้สาระ
รัฐบาลแพทองธารไม่มีปัญญาตอบคำถามเรื่องทางออกของปัญหาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ได้ แต่ทำได้อย่างเดียวคือปัดสวะให้พ้นตัวไปวันๆ พร้อมกับพูดจาทำนองโกหกพกลมเพื่อแถเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งโกหก ยิ่งแถ ก็ยิ่งมัดตัวเองให้เดินต่อไปไม่ได้ แต่ที่สำคัญคือความไร้ปัญญาของรัฐบาลมันทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างใหญ่หลวง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี