หากนับรวมงานปาฐกถาครั้งล่าสุด ซึ่งจัดขึ้น โดยอสมท ถือว่าเป็นเวทีใหญ่เวทีที่สามแล้วที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญให้ขึ้น โชว์เดี่ยวในฐานะอะไรก็ไม่รู้ เป็นพ่อนายกฯ หรือสทร. หรือเสมียนประเทศ ที่อุปโลกน์ขึ้นเอง แต่น่าแปลกทุกเวทีมีเสียงสะท้อนกลับมาคล้ายๆ กันหมดคือ ตกยุค หลงตัวเอง ขายฝัน และแก้ตัว
โดยปกติ คนระดับอดีตผู้นำประเทศ ยิ่งเป็นทักษิณ ชินวัตร ด้วยแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งค่อนชีวิต ในอดีตเคยได้รับฉายาว่าเป็นอัศวินคลื่นลูกที่สาม โชว์วิชั่นแบบตาดูดาวเท้าติดดิน แล้วทำไมยิ่งขึ้นเวที กลับยิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นอัศวินหลงยุค ที่ยังยึดติดอยู่กับความคิดเดิมๆ วิธีการเดิมๆ ในขณะที่โลกยุคใหม่ได้ก้าวล้ำไปไหนต่อไหนแล้ว
ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทย ได้พยายามอย่างหนักในการโฆษณาชวนเชื่อ นำเสนอวิสัยทัศน์ของทักษิณผ่านช่องทางแพลตฟอร์มโซเชียลที่มีอยู่เพื่อสื่อสารไปยังฝ่ายสนับสนุน ให้เห็นถึงแนวคิดปลดล็อกอนาคตประเทศไทย เสนอแผนพลิกฟื้นทั้งระบบ–จากหนี้ครัวเรือน รถไฟฟ้า 20 บาท สู่ Soft Power คริปโต ระบบราชการใหม่ รื้อระบบใต้โต๊ะ และผู้ว่า CEO ก็ตาม
แต่นั่นก็ไม่สามารถสร้างความเปรี้ยงปร้างและเรียกความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในวงกว้างได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกตั้งคำถามกลับว่าจะทำได้จริงๆ หรือเป็นแค่เทคนิคขายฝันเพื่อหาคะแนนนิยม ทำไม 2 ปีที่ผ่านมา มีอำนาจเต็มมือ แต่ไม่เคยเห็นทำอะไรสำเร็จเลย หรือแม้กระทั่งถามว่า เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คน ทำนโยบายเรือธงที่ตัวเองหาเสียงไว้ได้กี่อย่าง
และหากจะว่าไปแล้ว แม้แต่ปัญหาวิกฤตระดับชาติที่กำลังจ่อคอหอยคนไทยอย่างน้อย 3 เรื่องในเวลานี้ และต้องการทางออกอย่างมั่นใจโดยด่วนคือ ปัญหาภาษีทรัมป์ ปัญหาการเมืองภายใน และปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา จนป่านนี้ผ่านมา 2-3 เวทีก็ยังไม่มีคำตอบที่เป็นสาระจากทักษิณแต่อย่างใด นอกจากวาทกรรมเดือดๆ และคำเฉไฉเอาตัวรอด
ขอโฟกัสไปที่ปัญหาการเมือง ทักษิณ ชินวัตร ทราบและเข้าใจดีว่า นี่คือหัวใจหลักของการจะขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือปัญหาชายแดน เห็นได้จากคำกล่าวบนเวทีที่ว่า การที่จะให้คนไทยมีความหวังได้ เชื่อในสิ่งที่พูดว่า สามารถทำได้ทุกเรื่องนั้น การเมืองต้องมีเสถียรภาพ และ
นี่คือสิ่งที่ตนเป็นห่วงที่สุด
นั่นก็แปลว่า ทักษิณรู้อยู่เต็มอกว่ากลไกที่จะทำให้การทำงานต่อเนื่องได้นั้น อันดับแรกคือ การเมืองต้องมีเสถียรภาพ ซึ่งต้องมากและนิ่งด้วย แต่ในเวทีเดียวกันนี้ ทักษิณกลับประกาศราวกับเป็นเจ้าของประเทศว่า จะไม่มีการเปลี่ยนรัฐบาล หรือเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยยังจะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร และมีตนเป็นเสมียนประเทศ
ดังนั้นจึงชัดเจนว่า แม้ทักษิณรู้ซึ้งอยู่แก่ใจดีว่าหนทางในการปลดล็อกประเทศให้การเมืองกลับมามีเสถียรภาพนั้นควรทำอย่างไร เพื่อเปิดช่องให้กลไกทางรัฐสภาได้ไปต่อ เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา อย่างน้อยๆ ก็ไม่ทำให้การเมืองตกอยู่ในสุญญากาศ และรัฐบาลมีสภาพง่อยเปลี้ยเสียขาทุกองคาพยพอยู่แบบนี้
คำถามคือ แต่ทำไมทักษิณไม่คิดที่จะทำ เหมือนคำพูดที่อ้างสวยหรูบนเวทีวันนั้นว่า อยากเห็นเสถียรภาพทางการเมือง ในทางตรงกันข้าม กลับเลือกที่จะผูกปมมัดเงื่อนให้กับการเมืองต้องตกอยู่ในสภาพเสียงปริ่มน้ำ เปิดสภามาได้เพียง 3 สัปดาห์ ต้องสั่งปิดหนีองค์ประชุมไม่ครบถึง 3 หน อัปยศครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่สำคัญกว่านั้น ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง ต้นตอก็มาจากวิกฤตศรัทธาผู้นำแพทองธาร ชินวัตร เรื่องคลิปเสียงหลุดกับฮุนเซน และจากความต้องการของทักษิณเองที่อยากยึดคืนกระทรวงมหาดไทย จนแตกหักกับพรรคภูมิใจไทย กลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ทั้งหมดนี้คือตัวปัญหาของชาติที่ทักษิณก็รู้ดี แต่ไม่เคยคิดที่จะปลดล็อกจริงๆ ให้กับคนไทยเลยแม้แต่น้อย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี